หมายเหตุสถานการณ์ : การเมืองเรื่องคณิตศาสตร์ “สุเทพ-อภิสิทธิ์” ถึงคราวสร้างดาวกันคนละดวง !!
“อภิสิทธิ์ย้ำหลายคนกังวล”สุเทพ”ตั้งพรรค – เตือนฝืนความต้องการคนส่วนใหญ่อันตรายมาก” เมเนเจอร์ ออนไลน์บ่ายวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา พาดหัวการเมืองเรื่องร้อน..แต่ถ้าใครได้ชมรายการ “คุยเคาะเจาะข่าว”ทางช่องนิว 18 เมื่อเช้าวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ก็คงไม่ตื่นเต้นอะไรมาก เพราะสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิกปปส.ได้แจงสี่เบี้ยให้ได้ยินกันแล้วว่า ถ้าจำเป็นก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการตั้งพรรค และถ้าใครอ่านคอลัมน์นี้มาตั้งแต่แรกก็น่าจะจำได้ว่าคอลัมน์นี้ได้ชี้ชวนมาแต่แรกว่าให้จับตา..การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนคสช.
1.การเมืองเรื่องคณิตศาสตร์
ดังที่แจกแจงมาหลายครั้งแล้วว่า ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกหรือหลังเลือกตั้งคนที่จะโหวตเลือกนายกฯคือ ส.ส.500คนกับส.ว.250คน รวม750 ใครได้คะแนนเกินครึ่ง(376เสียง)ก็เป็นนายกรัฐมนตรีไป จะเห็นได้ว่าฝ่ายคสช.ที่กุมเสียง ส.ว.ไว้แล้ว 250 เสียงแค่หาเสียงส.ส.เพิ่มอีก 126 เสียงก็โหวตผ่านให้คนที่ฝ่ายตนสนับสนุนเป็นนายกฯได้แล้ว (แต่จะมีปัญหาการบริหารประเทศมากหากเสียงในสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึงครึ่งหรือ 250 จาก 500)
นอกจากนั้นแม้คสช.มีเสียงส.ว.ไว้โหวตเลือกนายกฯ 250 เสียงก็จริง แต่หากพรรคการเมืองใหญ่จับมือกัน เช่นพรรคเพื่อไทยจับมือประชาธิปัตย์หลังเลือกตั้งเที่ยวหน้า รวมกันได้ 400 เสียง โดยพรรคเพื่อไทยซึ่งยังมีแนวโน้มเป็นแชมป์เลือกตั้งพลิกเกมยอมสนับสนุนให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากประชาธิปัตย์ เป็นนายกฯก็ต้องบอกว่าจบข่าว...ความหวังของสุเทพที่ประกาศหนุนข้ามช็อตให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นนายกฯอีกสมัยก็ต้องวูบดับ
“ผมก็คงได้แต่บอกว่าไม่อยากให้มันเกิดขึ้น” สุเทพตอบคำถามรายการคุยเคาะฯ ด้วยสายตากังวล ต่อสูตรผสมเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ พร้อมยอมรับกลางรายการว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองใหม่จะเกิดขึ้นพรรคหนึ่งเพื่อสนับสนุน”บิ๊กตู่”และตนจะเป็นหนี่งแรงที่สนับสนุนอยู่ด้วย แต่จะไม่รับตำแหน่ง..
ถึงนาทีนี้ก็คงไม่ได้เป็นความลับอะไรอีกต่อไปว่า ขณะนี้ส.สุเทพครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับการตั้งพรรคการเมืองดังกล่าว ขณะที่มีรายงานข่าวระบุว่าอีก “ส.”หนึ่งก็ครุ่นคิดในเรืองนี้ไม่น้อยเช่นกัน ..อีก”ส.”ที่ว่าคือส.สมคิด เจ้าของสมญา”จอมยุทธกวง”
แน่นอนที่สุดการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองที่ว่านี้เป็นเรื่องคณิตศาสตร์ทางการเมือง..โจทย์คือทำอย่างไรให้สองพรรคใหญ่(เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์)รวมกันแล้วได้ไม่เกิน 376 เสียง...สะกัดการจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล คำตอบประการหนี่งคือตั้งพรรคแย่งจำนวนส.ส.
หลายคนอาจจะแย้งว่ายากยิ่งที่ประชาธิปัตย์จะรวมกับเพื่อไทยได้ แต่เรื่องเกมการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน อภิสิทธิ์บอกหลายครั้งแล้วว่าถ้าเพื่อไทยยอมปรับเปลี่ยนและเข้าสู่เงื่อนไขประชาธิปัตย์ได้ ก็สามารถพูดคุยกันได้..
2. “มาร์ค-สุเทพ” ดาวคนละดวง
ต้องยอมรับว่าหาก คสช.จะสนับสนุน”ลุงตู่”ให้เป็นนายกฯต่อ พรรคประชาธิปัตย์คือฐานเสียงสนับสนุนที่น่าจะพูดจาหรือร่วมมือกันได้ง่ายที่สุด แต่สถานการณ์วันนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายและไม่เป็นเช่นนั้น ประชาธิปัตย์วางระยะห่างกับคสช.ค่อนข้างมาก และพักหลังๆก็ยิ่งห่างกว่าเดิม สิ่งที่กุนซือคสช.บางปีกเคยวาดหวังแบบง่ายๆ ว่า ประชาธิปัตย์อาจจะเสียสละยอมรับตำแหน่งประธานรัฐสภา แล้ว ให้”บิ๊กตู่”เป็นนายกฯจับมือกันเปลี่ยนผ่านประเทศไทย วันนี้คงต้องบอกว่าไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้น..!?
คาดกันเล่นๆว่าเลือกตั้งหนหน้าประชาธิปัตย์ ก็คงได้จำนวนส.ส.ในระดับ150บวกลบ ซีงก็เป็นจำนวนมากพอที่จะเป็นเสียงชี้ขาดอนาคต”ประยุทธ”และอนาคตประเทศ..อภิสิทธิ์และประธานสภาที่ปรึกษาพรรคอย่างชวน หลีกภัย คงไม่แบไพ่จริงๆออกมาให้เห็นกันง่ายๆในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม แม้หนทางการจับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลนัยว่าเป็นการ “หยุดคสช.”จะดูง่ายในเชิงคณิตศาสตร์เพราะสองพรรครวมกันเกินโอกาสเกิน 376 เสียงมีสูงมาก แต่สำหรับประชาธิปัตย์แรงกดดันที่น่ากลัวที่สุดก็คือแรงกดดันจากประชาชนและมวลสมาชิกพรรคที่คงจะเต็มไปด้วยคำถาม...ซึ่งหากจะกล่าวในชั้นนี้ก็น่าจะพูดได้ว่าแม้สมมุติว่าพรรคเพื่อไทยยอมสนับสนุน”อภิสิทธิ์”เป็นนายกฯ แต่ยากที่จะเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนจะไม่ยอม.
นั่นยังไม่นับรวมกรณีหากสุเทพร่วมตั้งพรรคหนุนพล.อ.ประยุทธจริง แม้จะไม่ถึงกับทำให้ประชาธิปัตย์ทรุดเซ แต่ก็คงได้รับผลสะเทือนเรื่องจำนวนที่นั่งส.ส.ไม่มากก็น้อย...
ไม่ว่าสุดท้ายการเมืองจะจบที่ไพ่ใบไหน หรือสูตรไหนก็ตามแต่สำหรับ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ที่ร่วมวงร่วมงานกันมาในฐานะ “นายกฯ-รองนายกฯ”ในห้วงปี 2551-2554 ในนาทีนี้แม้สัมพันธภาพส่วนตัวจะให้เกียรติรักและนับถือกันอยู่ แต่ในทางการเมืองก็ต้องบอกว่าหันหน้าไปคนละทางสร้างดาวกันคนละดวง..เรียบร้อยแล้ว
แต่จะนานแค่ไหนนั้นยังบอกไม่ได้ อย่างน้อยๆก็นานจนกว่าได้เห็นผลการเลือกตั้ง..และถึงวันนั้น ภายใต้สัจธรรมการเมืองลูกกลมๆ ทั้งคู่อาจจะเดินไปคนละทางต่อไป หรือหันหน้ามาร่วมทางก็เป็นได้ ใครจะไปรู้..!!??