"พิธา" เสนอแก้ปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืนด้วย 3 ท. "ทรัพยากร-ท้องถิ่น-เทคโนโลยี"
เมื่อวันที่ 7 เม.ย. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเพจ Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ระบุว่า "พิธา” เสนอ แก้ปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืนด้วย “3 ท.” ทรัพยากร x ท้องถิ่น x เทคโนโลยี ก่อนอื่น ผมขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟป่าในภาคเหนือ และขอเป็นกำลังใจให้ชุมชน อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ผู้กำลังช่วยกันควบคุมทำแนวกันไฟและดับไฟป่าเพื่อไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ รวมถึงส.ส.และทีมงาน พรรคก้าวไกล - Move Forward Party ที่ติดตามและช่วยเหลือปัญหาไฟป่ากันมาโดยตลอดเหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นสถานการณ์ภัยพิบัติที่ร้ายแรงของประเทศไทยที่กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามาในยามที่มีภัยโรคระบาดโควิด19 วิกฤตไฟป่าครั้งนี้นอกจากจะพรากชีวิตผู้คนไปแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างทั้งการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหามลพิษฝุ่น PM 2.5 ซึ่งภาคเหนือของไทยได้สร้างสถิติมีค่าฝุ่นอันตรายเกินมาตรฐานติดอันดับโลกเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ผมอยากถามว่า ระหว่างเรือดำน้ำหรือเครื่องบินรบ กับเครื่องบินดับไฟป่า อะไรสำคัญกว่ากัน เราควรจะลงทุนกับอะไรก่อนเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนอยู่ได้?
ปัญหาไฟป่าในปีนี้รุนแรงมากขึ้น ดูจากรายงานของสำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า สถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 9 จังหวัดภาคเหนือ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2562 – 31 มี.ค. 2563 นั้นมี Hotspot หรือ จุดความร้อน สะสมสูงถึง 37,343 จุด ซึ่งสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 10,660 จุด เฉพาะเดือน ก.พ. และ มี.ค. ที่ผ่านมา มีจุดความร้อนสะสมกว่า 2,050 จุด และขณะนี้มีพื้นที่เสียหายสะสมอย่างน้อย 89,042 ไร่ ปัญหาไฟป่ารุนแรงและเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี คงจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตระหนักถึงปัญหาและเปลี่ยนแปลงมุมมองวิธีคิดในการแก้ไขให้ถึงรากฐานอย่างจริงจัง ซึ่งเราจะแก้ปัญหาให้ได้อย่างยั่งยืนผมเสนอหลักการง่ายๆ ที่เรียกว่า “3 ท.”
“ท. ท้องถิ่น” : แนวคิดในการจัดการและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ คือ ให้ผู้ที่ใกล้ชิดทรัพยากรที่สุด และใช้ประโยชน์ในทรัพยากรมากที่สุด เป็นผู้ดูแลทรัพยากรให้มากที่สุด รัฐราชการที่รวมศูนย์ต้องถอยไปเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือในสิ่งที่ท้องถิ่นไม่สามารถทำได้เท่านั้น ดังนั้นท้องถิ่นจึงเป็นส่วนที่สำคัญในการแก้ปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน โดยต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนเป็นหลักในการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันและการดับไฟ โดยเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาส่วนสนับสนุน ซึ่งการทำเช่นนี้จะลดปัญหาพื้นที่สุญญากาศที่ไม่มีหน่วยงานไหนรับผิดชอบ เช่น พื้นที่ราชพัสดุหรือพื้นที่ในการดูแลของทหารซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบโดยตรงของกรมป่าไม้ หรือกรมอุทยานฯ นอกจากนี้คือการเคารพ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ในหลายประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะเขาเชื่อว่า คนโตมากับไฟย่อมรู้จักไฟมากกว่าคนที่ส่วนกลาง เช่น ชาวอะบอริจิน ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศออสเตรเลีย จะใช้วิธีดั้งเดิมด้วยการเผาหญ้าส่วนเล็กๆ เป็นจุดๆ เพื่อจำกัดการลุกลามของไฟป่าในช่วงเดือนที่แห้ง ทำให้ไม่เกิดการเผาไหม้จากไฟป่าที่กินอาณาเขตกว้างใหญ่ ในภาคเหนือมีกลุ่มชาติจำนวนมาก พวกเขาอยู่กับไฟป่ามาตลอดและมีความรู้ที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เราควรมาพูดคุยกันจริงจัง โดยรัฐต้องโอบรับองค์ความรู้เหล่านี้ มาใช้แก้ปัญหาอย่างจริงจัง ช่วยชุมชนสร้างความเข้าใจแก่สังคม
“ท. ทรัพยากร” : กระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น ก็ต้องมาพร้อมกับการกระจายทรัพยากร จากข้อเท็จจริงปัจจุบัน มีพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 26.97 ล้านไร่ ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ มีพื้นที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเพียง 10.56 ล้านไร่ มีสถานีควบคุมไฟป่า 50 สถานี มีหมู่ดับไฟ 169 ชุด มีกำลังพล 2,535 คน มีชุดปฏิบัติการดับไฟป่า 4 ชุด 60 นาย และมีเครือข่ายการแก้ไขปัญหาไฟป่า 790 หมู่บ้าน อัตรากำลังเจ้าหน้าที่มีอยู่ไม่เพียงพอ และเข้าไม่ถึงหลายพื้นที่ ดังนั้นหน้าที่ของรัฐส่วนกลางในฐานะผู้สนับสนุนท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องให้อำนาจและงบประมาณอย่างจริงใจ เพื่อให้ท้องถิ่นแก้ปัญหาอย่างจริงจัง มีคำถามและข้อร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ว่า “จริงหรือไม่? ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่มีงบประมาณพร้อมที่จะสนับสนุนการดับไฟป่าของชุมชนแต่ไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องอำนาจตามกฎหมาย” ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้วงบประมาณเหล่านี้สามารถสนับสนุนสิ่งของจำเป็นเบื้องต้นในภารกิจดับไฟป่าของชุมชน เช่น เครื่องเป่าลม ไฟฉายส่องหัว หน้ากาก น้ำมันเชื้อเพลิง ยาสนาม อาหารกระป๋อง แต่กลับมีการท้วงติงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นว่า อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตอุทยานแห่งชาติ ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถให้การสนับสนุนงบประมาณส่วนนี้แก่ชุมชน ซึ่งแม้ไม่ใช่งบประมาณจำนวนมหาศาลแต่เป็นจำนวนเงินที่สำคัญในการช่วยชีวิตและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติรอบชุมชนของพวกเขาได้ หากเป็นไปได้ก็ควรปลดเงื่อนไขทางกฎหมายตรงนี้ลงโดยอธิบดีผู้รับผิดชอบ รัฐมนตรีหรือแม้กระทั่งการสั่งการโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้การจัดงบประมาณที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้เราจะเผชิญกับภัยพิบัติไฟป่าทุกปีและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น แต่จะเห็นได้ว่า เรายังไม่ได้ลงทุนเพื่อสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการดับไฟป่าอย่างเพียงพอ เรายังไม่ได้ลงทุนในอุปกรณ์พื้นฐานในการดับไฟป่าของชุมชนในเขตป่าเท่าที่ควร ซึ่งเราควรต้องเพิ่มความรู้ความเชี่ยวชาญ อุปกรณ์และงบประมาณในการดับไฟป่าตรงลงไปให้กับหมู่บ้าน ในเครือข่ายการแก้ไขปัญหาไฟป่า และขยายเครือข่ายชุมชนหมู่บ้านในการแก้ปัญหาไฟป่ามากกว่าเดิม เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชน สร้างระบบสร้างแรงจูงใจ และพัฒนาศักยภาพในการจัดทำแผนการจัดการของชุมชน แก้ปัญหางบประมาณมาถึงล่าช้า และงบประมาณลงไม่ถึงชุมชน
“ท. เทคโนโลยี” : ภัยพิบัติไฟป่าในสถานการณ์ปัจจุบันมีความรุนแรงเกินกว่าศักยภาพของชุมชนจะจัดการแล้ว แม้ความรุนแรงของไฟป่าจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่รัฐส่วนกลางดูเหมือนจะยังไม่ให้ความสำคัญกับการผลิตหรือจัดซื้อเทคโนโลยีระดับสูงในการดับไฟป่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ที่ทำภารกิจ firebombing ซึ่งเป็น Airtanker DC-10 ขนาดใหญ่บรรทุกน้ำในการดับไฟได้ครั้งละ 44,000 ลิตร ซึ่งมากกว่า KA-32 ที่ไทยใช้อยู่ถึง 14 เท่า, รวมถึง C-130Q ที่บรรทุกน้ำได้ 15,450 ลิตร ถึงแม้กองทัพอากาศไทยจะมีเครื่องบิน BT-67 หรือกรมป้องกันและบรรเทาสารธารณภัยมีเฮลิคอปเตอร์ KA-32 อยู่บ้าง แต่ความหลากหลายของเครื่องมือเพื่อการใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่มีความจำเป็นมากในการแก้ปัญหา และที่สำคัญต้องมีการประสานงานกับทีมภาคพื้นดินให้ดีด้วย
ที่ผ่านมาอาจมีข้ออ้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายในการไม่จัดซื้อหรือไม่เลือกใช้วิธีการดังกล่าว แต่ตอนนี้ชัดว่านี่คือภัยพิบัติที่ส่งผลต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เราจำเป็นต้องลงทุนเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ผมคิดว่าเราควรทบทวนแนวคิดเรื่องความมั่นคงใหม่ เพื่อจะได้จัดลำดับความสำคัญได้ว่าระหว่างเครื่องบินดับไฟป่ากับเครื่องบินรบ เราควรจะลงทุนกับอะไรก่อนเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนอยู่ได้
ในสถานการณ์เฉพาะหน้า รัฐบาลต้องกล้ายอมรับว่าทรัพยากรกับเทคโนโลยีของเราอาจไม่เพียงที่จะจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่นี้ได้โดยลำพัง เราควรประสานขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ เช่น กลุ่มประเทศในอาเซียน สิงคโปร์ จีน ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ มีเทคโนโลยีการจัดการไฟป่า นี่ไม่ใช่เรื่องต้องกลัวเสียหน้าแต่เป็นเรื่องมนุษยธรรมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนานาชาติท่ามกลางวิกฤต ดังหลายเหตุการณ์ที่เคยก่อนหน้านี้ ทั้งประเทศสิงป์โปร์ก็เคยส่งเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำพร้อมอุปกรณ์ดับไฟป่ามาช่วย เมื่อปี 2558 ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างเหตุการณ์สึนามิ ในปี 2547 หรือการช่วยเหลือ 13 หมูป่าออกจากถ้ำที่จังหวัดเชียงราย ที่นานาชาติยื่นไม้ยื่นมือเข้ามาช่วยจนภารกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี แน่นอนภายใต้สถานการณ์วิกฤต COVID-19 ที่มีคำสั่งปิดน่านฟ้าไทยอยู่อาจจะทำให้ทางออกนี้ซับซ้อนไปอีก แต่ชีวิตประชาชนก็รอไม่ได้เช่นกัน
ขอบคุณเพจ Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์