เสียหายศูนย์รายได้ “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” เจอพิษไวรัสโควิด-19 เปิดใจเคยหาเงินได้ 3 เดือน 10 ล้าน ต้องกลายเป็นศูนย์ !
กระทบกันถ้วนหน้าสำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าจะกิจการห้างร้านที่ต้องปิดกันระนาวเซ่นพิษโควิด-19 ไม่วายกระทั่งเหล่าดารา-ศิลปิน ที่ต้องถูกยกเลิกงานต่างๆ เกือบทั้งวงการเลยทีเดียว
เช่นเดียวกับนักแสดงและนักร้องรุ่นใหญ่อย่าง “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ที่ล่าสุดเจ้าตัว ก็ได้มานั่งเปิดใจว่าเธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่โดนยกเลิกงานหลายงานเลยทีเดียว แถมยังเผยว่าเมื่อก่อนเจ้าตัวนั้นเคยหาเงินได้ 3 เดือน ถึง 10 ล้านบาทกันเลยทีเดียว ล่าสุด “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ก็ได้มานั่งเปิดใจให้ “พีเค ปิยะวัฒน์” และ “หนิง ปณิตา” ฟังในรายการ “คุยแซ่บ Show” ว่า...
สมัยก่อนโควิด-19 กำเงินเป็นล้านเลยจากงานอีเว้นต์ ?
แล้ว ณ เดือนนี้ ล่ะ ?
เดือนนี้ เดือนที่แล้ว งานไม่มีเลย พี่เล่นบริจาคกันตู้มใหญ่ๆ กลัวเงินหมดไหม กลัวไม่มีกินไหม ?
ชีวิตพี่คิดว่าจุดไหน คือจุดที่ลำบากที่สุด ?
ตอนเป็นนักร้องกลางคืนใหม่ๆ แขกที่มานิสัยต่างกันหมดเลย แล้วมีบางคนคอมเมนต์เราแย่ มีเขวี้ยงของใส่เราด้วย ?
อย่างพี่คิ้มเรียกว่าวัยทองแล้วหรอ ?
ขอบคุณรูปจากอินสตาแกรม : @j.kim4real
สถานการณ์โควิด-19 เห็นบอกว่าต้องรีเซตตัวเองใหม่หมดเลย จากเมื่อก่อนงานเยอะมากๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นศูนย์จริงเหรอคะ ?
“พี่ว่าจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวพี่ ทุกๆ คนที่ทำงานในแวดวงบันเทิงมันกระทบหมด เราจะต้องมีสติ ช่วงมีงานเราก็เก็บเงิน ด้วยความที่อายุงานของพี่ 30 ปีแล้ว พี่ก็เก็บมาตลอด พี่เริ่มต้นจากการเป็นนักร้องกลางคืนที่ไม่แน่นอน ร้องสักอาทิตย์ สองอาทิตย์เดี๋ยวเขาไล่ออก ถ้าเราเติบโตแบบนี้ เราจะรู้ว่าจะต้องทำยังไงกับมัน เมื่อเรามายืนอยู่ในจุดที่มีชื่อเสียง เราบอกได้แค่ว่าเราเก็บได้แค่เงิน เพราะวันหนึ่งที่ทุกคนพูดว่า เนี่ย…ขาลง ซึ่งขาลงไม่ลงเราไม่สนใจว่าใครจะพูดว่าอะไร แต่ในบัญชีของฉันไม่เคยมีคำว่าขาลง มันไม่ได้เป็นการอวดมั้ง อวดมี แต่เป็นการตัวเองว่า ถ้าคุณมีเงินเพื่อที่จะซัพพอร์ตตัวเองในชีวิตปกติหรืออะไรที่ไม่ปกติเกิดขึ้นได้ คุณไม่ได้ฟุ่มเฟือย ขึ้นหรือลงคุณก็ใช้ชีวิตแบบนี้ มันจะไม่เกิดคำว่ารีเซตใหม่ แต่ในแง่ของระบบการงานของเราในเวลานี้มันรีเซตทุกอาชีพการงาน ที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่หาเช้ากินค่ำ มันเป็นเวลาที่บอกว่าไม่ใช่แค่หมอพยาบาลกลุ่มเดียวที่เป็นฮีโร่ของพวกเรา คุณหมอ พยาบาล เป็นฮีโร่ทางกายของพวกเรา แต่คนทุกๆ คนเป็นฮีโร่ทางใจของตัวเอง คุณต้องฝ่าฟันอุปสรรคตรงนี้ไปให้ได้ คุณจะต้องใช้ทุกอย่างที่มี โดยเฉพาะความเข้มแข็งของคุณ”
“เมื่อก่อนตอนฮอตๆ 3 เดือน 10 ล้าน เป็นอย่างนั้นตลอดเป็นปี”
“เดือนนี้เป็นศูนย์ตั้งแต่เขาประกาศว่าแบบโควิดจริงๆ จังๆ มันเป็นเรื่องน่าตกใจไหมสำหรับพี่ พี่ไม่ตกใจ เพราะว่าตอนสมัยที่พี่เริ่มร้องเพลงใหม่ๆ พี่ก็เคยเจอแบบนี้ ไม่มีงานทำ 2-3 เดือน มันคุ้นชินกับความไม่แน่นอน”
ล่าสุดบริจาค 4 แสน ตั้งใจไม่บอกใคร เห็นว่างานนี้มีงอนกับพี่ “ท็อป ดารณีนุช” ด้วย ?
“พี่ไม่ได้งอนแต่พี่จะรำคาญมัน คนบ้าอะไรชีวิตมีความสุขแต่ไม่สงบสุข มันจะต้องไปหาความทุกข์ของคนอื่นมาเพื่อตัวเองจะได้ทำการบรรเทา คือจิตอาสา กับจิตอาเสือก มันใกล้กันนิดเดียวนะ เพื่อนดิฉันน่าจะอยู่อันหลัง คุณท็อป คุณก้อง คุณชุดาภา คนพวกนี้จะเป็นคนที่มีจิตอาสา เก่งในเรื่องของการดูแลตนเอง และดูแลคนอื่น แล้วเราเป็นเพื่อนมันเราจะรำคาญมัน นี่ยังไม่หยุดอีกหรอ นี่ชีวิตมึงเหลือเวลาน้อยแล้ว มึงยังไม่อยู่นิ่งๆ อีกหรอ อยู่นิ่งๆ ไม่เป็นหรอ รำคาญมันส่องดูสิว่ามันทำอะไร แล้วเราจะถามคำต่อไปว่ามึงมีอะไรให้ช่วยไหม แล้วมันก็ด่าว่า อีนักชอปออนไลน์ ทำไมมึงไม่ดูแคตตาล็อคกุ คือแคตตาล็อคนี่จะมีให้เลือกเลยนะ บริจาคอะไร ราคาเท่าไหร่
ดิฉันก็บอกว่าไม่ใช่นักชอปออนไลน์ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงมันก็พูดให้ฟัง ไม่ว่าพี่จะบริจาคเท่าไหร่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันเป็นเวลาที่ต้องช่วยเหลือกัน พี่ว่านักแสดงดีๆ ส่วนใหญ่จะมีสำนึกตรงนี้ว่าเรายืนอยู่บนความนิยม ความนิยมเราไม่เห็นว่ามันเป็นยังไง คนดูก็ไม่เห็นว่ามันเป็นยังไง แต่เรามีที่ยืนได้เพราะความนิยมที่ประชาชนเมตตาเรา วันหนึ่งความนิยมที่เขามีต่อเราเนี่ยมันจะกลับไปทดแทนสิ่งที่เขาเคยให้เรา พวกเราจะต้องคิดแบบนี้”
“เอาอย่างนี้ดีกว่าถ้าสมมติพี่ไม่ทำงาน 10 ปี อยู่เฉยๆ พี่ก็อยู่ได้แล้วก็ยังมีเงินเหลืออีก มันไม่ได้มีเยอะ แต่ฉันไม่ได้เป็นคนใช้เยอะ”
วันหนึ่งพี่ใช้เงินวันละกี่บาท ?
“พี่เคยไม่ออกจากบ้านเกือบอาทิตย์ แล้วไม่ได้ใช้ตังค์สักบาทเลย”
ตอนนี้พี่มีค่าบ้าน ค่าคอนโด ต้องจ่ายไหม ?
“ไม่มี พี่ไม่มีหนี้ ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตเป็นอย่างนี้ คือเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่คุณอยากได้ของแพงๆ คุณต้องดาวน์ครึ่งหนึ่งแล้วส่งแบบอัดๆ ให้มันเร็วๆ ให้มันหมดภายในเวลา 5 ปี เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อีกทางหนึ่งซึ่งมันยากมาก คือไม่ค่อยอยากได้อะไรสักเท่าไหร่ พี่เป็นคนไม่อยากได้อะไรเกินตัว พี่ไม่อยากจะเหนื่อย พี่อาจจะรู้สึกด้วยความที่พี่เกิดมาในครอบครัวเป็นนักพนันมันไม่มั่นคง ไม่เป็นไร วันหนึ่งที่พี่เป็นรุ่นถัดไปพี่จะเป็นเลือดผสมที่แก้ไขความบกพร่องในรุ่นที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว”
“คือจุดที่พี่ยังไม่แตะคำว่าดัง ทุกๆ วันพี่ถือว่ามันเป็นความลำบากทางใจของพี่ที่สุด เพราะพี่ไม่อยากร้องเพลงกลางคืน แต่การร้องเพลงกลางคืนมันดีมาก พี่ขอบคุณทุกร้าน ทุกที่ แล้วอยากบอกเด็กๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียง ร้องตามผับ ตามบาร์ ว่า ให้คุณภูมิใจเถอะว่านั่นคือสารตั้งต้นถ้ามันแข็งแรงแล้วมันจะประกอบรวมกับสารบางอย่างในโอกาสที่เหมาะสม ทำให้เกิดความดังได้แค่ชั่วข้ามคืน เราเกิดมาจากที่แบบนั้นก็เลยทำให้ชีวิตมันไม่ได้ยากนัก”
“ใช่ คำว่าบูลลี่ที่คนเขาใช้กัน มันไม่เท่ากับความจริงที่มันเป็นอยู่การถูกกดดันโดยความลำบากทางใจ นักร้อง นักแสดงทุกคนเป็น เมื่อคุณเห็นคนอื่นที่เกิดในยุคเดียวกันดังขึ้นไปแล้วคุณยังอยู่ที่เดิม ผ่านไป 10 ปีคุณยังอยู่ที่เดิมมันช่างเจ็บปวด ทั้งที่คุณมีกินมีใช้อยู่ไม่ได้อดอยากอะไร นั่นคือความลำบาก และความลำบากสิ้นสุดที่คำว่ามีชื่อเสียง คราวนี้การมีชื่อเสียงคุณอาจจะลำบากกว่าเก่าได้อีกถ้าคุณประมาท”
“ใช่ ถ้าเลข 5 ขึ้นก็น่าจะทองแล้ว คำว่าวัยทอง เราต้องเข้าใจมันให้ได้ก่อน วัยทองมันจะปวดเมื่อยตัว อารมณ์จะสวิงตามฮอร์โมน”
แล้วร้องเพลงจนเสียงพัง เกิดอะไรขึ้น ?
“นักร้องทุกๆ คนจะแพ้ควัน แล้วนักร้องที่ร้องตามผับ ตามบาร์ บางที่มันเป็นเอาท์ดอร์แล้วคนก็นั่งสูบบุหรี่ แล้วมันก็เข้าจมูกเรา คือถ้าพี่ได้กลิ่น เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เสียงแหบแล้ว หรือสมมติเรานอนน้อยแล้วเราขึ้นเครื่องไปซาวด์เช็กยืนตากแดดไปชั่วโมงหนึ่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเสียงแหบแล้ว นักร้องไม่ชอบตื่นเช้ามากๆ ไม่ชอบแดดร้อนๆ ไม่ชอบสโมค ไม่ชอบควัน จริงๆ นักร้องชอบกินแอลกอฮอล์ แต่เส้นเสียงของนักร้องไม่ถูกกับแอลกอฮอล์มันก็จะทำให้เสียงพังง่ายเลย”
พังของพี่คิ้มจนร้องเพลงไม่ได้มีไหม ?
“เยอะแยะ บ่อย มีอยู่วันหนึ่งไปงานของเทศบาลของจังหวัดนครพนม เสียงแหบมาก ต้องอาศัยเดินลงมาใกล้ชิดคุย เพื่อเป็นการปลอบใจ คือไปถึงกลางวันแดดเปรี้ยง กลางคืนหนาวแบบ 15 องศา แล้วช่วงตรุษจีนพี่ร้องเพลงเยอะ 7 วัน ร้องไป 11 งานก็เลยเสียงพัง จากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์เราจะหายเอง”