เหยื่อแชร์ลูกโซ่ภาคเหนือสูญ 700 ล้าน

2017-09-07 15:45:21

เหยื่อแชร์ลูกโซ่ภาคเหนือสูญ 700 ล้าน

Advertisement

ดีเอสไอเผยคดีแชร์ลูกโซ่บริษัทดัง ผู้เสียหายในภาคเหนือตกเป็นเหยื่อมากที่สุด มูลค่าความเสียหายกว่า 700 ล้านบาท เตรียมขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด



เมื่อวันที่ 7 ก.ย. นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รอง ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า จากการที่ดีเอสไอได้เปิดศูนย์บริเวณชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสอบสวนผู้เสียหายจากธุรกิจแชร์ลูกโซ่ บริษัทเดอะซิสเต็มปลั๊กแอนด์เพลย์ จำกัด ซึ่งถูกหลอกให้ลงทุนซื้อแพ็กเกจคอร์สสัมมนา หรือหลักสูตรความรู้ทางการเงิน ได้ทยอยเข้าให้ปากคำ ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. จนถึงขณะนี้มีผู้เสียหายเดินทางมาเป็นพยาน และให้ปากคำแล้วประมาณ 350 ราย ซึ่งทางดีเอสไอ จะดำเนินการไปจนถึงวันที่ 8 ก.ย. และคาดว่าจะมีผู้เสียหายเดินทางมารวมแล้วประมาณ 600 ราย จากที่มีคนลงทะเบียนผ่านทางออนไลน์ไว้ 850 ราย โดยมีผู้เดินทางมาน้อยกว่าที่ลงทะเบียนไว้ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่เราจะเดินทางไปเปิดศูนย์ที่ จ.นครสวรรค์ ในวันจันทร์ที่ 11 ก.ย. นี้ ซึ่งผู้เสียหายบางส่วนไม่สะดวกเดินทางมาที่ จ.เชียงใหม่ ก็ขอไปให้การที่ จ.นครสวรรค์ แทน สำหรับภาคเหนือตอนบน และภาคเหนือตอนล่าง รวมกันแล้วคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายประมาณ 1,000 กว่าราย และในห้วงเดียวกันได้ส่งทีมไปที่ จ.ขอนแก่น และ จ.สุราษฎร์ธานี มีผู้เสียหายเดินทางมาเป็นพยานจำนวนมากเช่นกัน



  


นายปิยะศิริ กล่าวต่อว่า สำหรับมูลค่าความเสียหายของภาคเหนือตอนบนน่าจะประมาณ 700 ล้านบาท ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีผู้เสียหายมากที่สุดในคดีนี้ ซึ่งการรวบรวมพยานหลักฐานและการสอบปากคำ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเสร็จแล้วจะประมวลเรื่องทั้งหมดเข้าที่ประชุมพนักงานสอบสวน เพื่อเอาหลักฐานมาดูว่าใครกระทำความผิด ใครเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน จากนั้นจะลงมติและแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ส่วนประเด็นของการฟอกเงินและภาษี จะเป็นอีกคดีหนึ่งที่จะตามมาหลังจากนั้น





นายปิยะศิริ กล่าวด้วยว่า กรณีของนางอำไพ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ซึ่งเป็นพยาบาลและเป็นแม่ข่ายใหญ่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ทางดีเอสไอได้เข้าตรวจค้นบ้านไปเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น โดยทางศาลได้อนุมัติให้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบ ไปค้นเพื่อหาพยานหลักฐาน แต่ดีเอสไอยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา เพียงแต่ทางศาลให้เข้าไปหาหลักฐานที่เชื่อว่าน่าจะเข้าข่ายการกระทำความผิด ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาก็ต้องดูผลการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ย.นี้ ส่วนแม่ข่ายใหญ่อื่นๆ จะมีการเข้าตรวจค้นต่อไป คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะดำเนินการในเรื่องนี้





“คดีนี้จะสอบสวนตามกระบวนการในส่วนแรก คาดว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นเดือนนี้ ส่วนคดีการฟอกเงินและคดีที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินการทั้งหมด และในส่วนของนายภูดิศ (ขอสงวนนามกสุล) ซึ่งเป็นคณะกรรมการบริษัท และได้ถูกดำเนินคดีไปแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่นต่อไป ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และบางคนก็เป็นถึงระดับผู้บริหารของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน” นายปิยะศิริ กล่าว