เปิดมติ ครม.6 ด้านสกัดโควิด-19

2020-03-17 18:25:35

เปิดมติ ครม.6 ด้านสกัดโควิด-19

Advertisement

เปิดมติ ครม. 6 ด้านสกัดโควิด-19  ไม่มีการปิดเมือง ปิดประเทศ  ควบคุมสถาการณ์ชะลอระยะ 2 ให้นานที่สุด โดยใช้มาตรการควบคุม ป้องกัน รักษา สื่อสารในทุกด้าน  ถือการแก้ไขปัญหาโควิด-19 มีความสำคัญเป็นอันดับ 1 เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคบรรเทาลงแล้ว รัฐบาลจะดำเนินการฟื้นฟูผลกระทบด้านอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงด้านเศรษฐกิจต่อไป 

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19)  ปัจจุบันถึงแม้ว่าขณะนี้จะยังไม่เข้าสู้การระบาดในระยะที่ 3 แต่ว่ามีแนวโน้ม  การแพร่กระจายที่เพิ่มมากขึ้น และเพื่อลดการแพร่ระบาดจาก กทม. ไปสู่จังหวัดอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและหามาตรการรองรับ โดยทุกภาคส่วนต้องทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อบูรณาการความร่วมมือเพื่อหาแนวทางการรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและขอขอบคุณทุกส่วนราชการที่ร่วมมือในการประสานงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

จากการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรน่า (โควิด-19) เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้นำเรื่องมาเสนอ ครม. วันที่ 17 มี.ค. รับทราบและพิจารณา การดำเนินการ ในด้านต่าง ๆ 6 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านสาธารณสุข (2) ด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน (3) ด้านข้อมูล การชี้แจงและการรับเรื่องร้องเรียน (4) ด้านการต่างประเทศ (5) ด้านมาตรการป้องกัน และ (6) ด้านมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยา และ ครม.ได้มีมติ ดังนี้


1. ด้านสาธารณสุข "ไม่มีการปิดเมือง หรือปิดประเทศ (การห้ามเข้า-ออก)"

1.1 ป้องกันและสกัดกันการนำเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย คือ

(1) ชาวต่างชาติที่เดินทางจากประเทศซึ่งเป็นพื้นที่เขตติดโรคติดต่ออันตราย (4 ประเทศ + 2 เขตปกครองพิเศษ)

- ขาเข้าต้องมีใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 3 วัน

- ต้องมีประกันสุขภาพ

- ยินยอมใช้ Application ติดตามของรัฐ

- มาตรการนี้ใช้กับการเข้าเมืองทุกทาง ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ

- ตม. ดูหนังสือเดินทางของชาวต่างประเทศด้วยว่าประเทศก่อนประเทศสุดท้ายคืออะไรบ้าง เป็นเขตติดโรคไหม แล้วแจ้ง มท.

- มาตรการกักกันของรัฐ ถูกคุมไว้สังเกตอาการ 14 วัน

(2) ชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง (ยังไม่ประกาศเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย)

- ขาเข้าต้องมีใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 3 วัน

- ต้องมีประกันสุขภาพ

- มีที่พำนักที่สามารถติดต่อได้ในประเทศไทย

- ยินยอมใช้ Application ติดตามของรัฐ

- มาตรการนี้ใช้กับการเข้าเมืองทุกทาง ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ

- มาตรการกักกันของรัฐ ถูกคุมไว้สังเกตอาการ 14 วัน

(3) ห้ามข้าราชการ พนักงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ เดินทางไปต่างประเทศ ยกเว้นมีเหตุจำเป็น และเตือนประชาชนให้งดการเดินทางไปในประเทศซึ่งเป็นพื้นที่เขตติดโรคติดต่ออันตราย และพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง

1.2 พัฒนาระบบและกลไกการกักกันผู้ที่เป็นหรือผู้ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย ณ ที่พำนัก ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558

1.3 ให้มีการกำหนดให้ชาวต่างประเทศ รวมทั้งคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ให้มีการใช้แอปพลิเคชั่น ติดตามตัว

1.4 จัดหาและเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็น ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับรับมือระยะ 3 ได้แก่ สถานพยาบาล เตียง หมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือ และชุดป้องกันโรค

1.5 แนะนำให้คนไทยที่พำนักอาศัยในต่างประเทศชะลอการเดินทางกลับประเทศไทยจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคในประเทศจะดีขึ้น


2. ด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน :"เร่งผลิตในประเทศและจัดหาจากต่างประเทศให้เพียงพอกับความต้องการ"

- เร่งผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากากอนามัยผ้า เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการป้องกัน เจล แอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปใช้หน้ากากผ้าเมื่อเดินทางเข้าสถานที่ชุมนุม/ชุมชน และเร่งผลิตหน้ากากผ้าให้เพียงพอ

- นำหน้ากากอนามัยของกลางที่ยึดได้ส่งศูนย์ฯ เพื่อกระจายต่อไป

- สำรวจความต้องการของเวชภัณฑ์ที่จำเป็น อาทิ ชุดป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (PPE) หน้ากาก N95 ละอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น และประสานกับต่างประเทศในการจัดหาเพิ่มเติมให้เพียงพอ

- ตรวจสอบการขาย Online การกักตุน และการระบายของสินค้า

3. ด้านข้อมูล : การสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาลมาจาก 2 แหล่ง ได้แก่

3. ด้านข้อมูล : การสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาลมาจาก 2 แหล่ง ได้แก่ 

- (1) กระทรวงสาธารณสุข เป็นการแถลงเฉพาะด้านข้อมูลทางการแพทย์ การสาธารณสุข

- (2) ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 เป็นการแถลงภาพรวมในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง

4. ด้านต่างประเทศ : การจัดตั้งทีมงานเพื่อดูแลคนไทยในต่างประเทศ 

- ให้ กต. ใช้ประโยชน์จาก TEAM THAILAND ในต่างประเทศ เพื่อเป็นทีมเฉพาะกิจ (Team Thailand COVID-19) ดูแลคนไทยในต่างประเทศ โดยมีท่านทูตเป็นหัวหน้าทีม

5. ด้านมาตรการป้องกัน “ลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง” 

5.1 ปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้น

(1) สถานที่ซึ่งผู้คนมาร่วมเป็นกิจวัตร เพื่อทำกิจกรรมร่วมกันอาจแพร่เชื้อได้ง่ายแม้จะป้องกันแล้ว และยังมีทางเลือกอื่นทดแทนการชุมนุม ได้แก่ มหาวิทยาลัย โรงเรียนนานาชาติ สถาบันกวดวิชา ให้ปิดชั่วคราว ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์

(2) สถานที่ซึ่งผู้คนไม่ได้มาชุมนุมเป็นกิจวัตร แต่มาเพื่อทำกิจกรรมที่มีการเบียดเสียดใกล้ชิด และเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อง่ายทางปาก สัมผัสถูกเนื้อถูกตัวหรือใช้สิ่งของร่วมกันง่าย เช่น สนามมวย สนามกีฬา สนามม้า โรงมหรสพ ผับ สถานบันเทิง สถานบริการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ แลปริมณฑล ปิดชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

(3) การจัดกิจกรรมรวมคนจำนวนมากที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น จัดคอนเสิร์ต การจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ กิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม และกีฬา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย

“เพิ่มมาตรการป้องกันสำหรับพื้นที่/สถานที่ที่ยังต้องเปิด” 

5.2 ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในสถานที่ที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมาก ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ตลาด สถานที่ราชการ และรัฐวิสาหกิจ โดยดำเนินการตามมาตรการป้องกันที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

5.3 ร้านค้า ร้านอาหาร ให้มีมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส การคัดกรองอุณหภูมิ การใช้หน้ากากอนามัย รวมทั้งลดความแออัด

“ลดความแออัดในการเดินทาง เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรค” 

5.4 ยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศ ได้แก่ งดวันหยุดสงกรานต์ วันที่ 13 – 15 เมษายน 2563 โดยให้เลื่อนออกไปก่อน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยจะชดเชยวันหยุดให้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

5.5 ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในระบบขนส่งสาธารณะในประเทศ และเพิ่มความถี่ของการเดินรถ

5.6 งดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัดของหน่วยงานที่มีคนจำนวนมาก เช่น ค่ายทหาร เรือนจำ โรงเรียน หรือหากจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ของโรค รวมถึงการจำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวด้วย

5.7 ให้ทุกหน่วยงานพิจารณามาตรการเหลื่อมเวลาทำงานและการทำงานที่บ้าน และส่งเสริมให้ใช้ระบบอินเตอร์เน็ต เช่น ประชุมทางไกล โดยให้หน่วยงานราชการทุกหน่วยทำแผนการทำงานจากบ้านและรายงานผลการปฏิบัติต่อศูนย์ฯ

“เพิ่มกลไกการกำกับดูแลในระดับพื้นที่มากยิ่งขึ้น”

5.8 ให้อำนาจ ผวจ. ผว.กทม. โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครให้ความเห็นชอบใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๓๕ และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะจำกัดและดูแลการเคลื่อนย้ายที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดโดยไม่เกิดผลกระทบ

5.9 ให้มีหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคในทุกอำเภอ เขต หมู่บ้าน โดยมีบุคคลจากภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

6. ด้านมาตรการช่วยเหลือเยียวยา

6.1 กลุ่มธุรกิจ โรงงาน สถานประกอบการ โรงแรม และธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านการท่องเที่ยว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) กระทรวงการคลัง(กค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงอุตสาหกรรม(อก.)  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหามาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีที่ต้องชะลอการ lay off พนักงาน ลูกจ้าง อาทิ มาตรการช่วยเหลือการลดราคาห้องพักของธุรกิจโรงแรม ทั้งนี้ อก. เสนอให้ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมจากเจ้าของกิจการโรงงาน

6.2 กลุ่มประชาชนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ให้ กค. มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณามาตรการในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และมีภาระในในการผ่อนชำระ เช่น รถจักรยานยนต์ ฯลฯ เพื่อให้สถาบันการเงินผ่อนผันการชำระค่างวด รวมถึงประชาชนที่ประกอบอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่นอกระบบ (พ่อค้า แม่ค้า ลูกจ้างรายวัน ฯลฯ) กลุ่มเกษตรกร (ผลไม้ ดอกไม้ กล้วยไม้ ฯลฯ) ที่ได้รับผลกระทบ และพิจารณามาตรการเพื่อนำเสนอเป็นมาตรการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯในระยะที่ 2 ต่อไป

6.3 ให้ กค. ยธ. พณ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดูแลอย่างเข้มงวดในเรื่องที่เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ไวรัสโควิด เช่น หนี้นอกระบบ การบังคับคดี การขายฝาก เป็นต้น

6.4 สร้างขวัญและกำลังใจให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 

ทั้งนี้ สำหรับมาตรการของรัฐบาลเพื่อรองรับผลกระทบทีสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคที่เคยเข้าคณะรัฐมนตรี ขอให้ศูนย์ข้อมูลโควิด นำไปเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ในช่วงทางต่าง ๆ ต่อไป

สรุป ขณะนี้ ประเทศไทยควบคุมสถาการณ์และชะลอระยะ 2 ให้นานที่สุด โดยใช้มาตรการควบคุม ป้องกัน รักษา และสื่อสารในทุก ๆ ด้าน โดยถือว่าการแก้ไขปัญหา COVID-19 มีความสำคัญเป็นอันดับ 1 เนื่องจากมีผลกระทบทั้งต่อชีวิตของประชาชนโดยตรง และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคบรรเทาลงแล้ว รัฐบาลจะได้ดำเนินการฟื้นฟูผลกระทบด้านอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงด้านเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลจะประเมินสถานการณ์ COVID ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจรายวันอย่างใกล้ชิดและรอบคอบ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและปรับ/เพิ่มเติมมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป