หวิดสิ้นชื่อ !! ไฟช็อตเกือบตัดแขนทิ้ง "ทนงศักดิ์ ศุภการ" เล่าสะท้อนย้อนนาทีชีวิต

2020-03-17 14:25:06

หวิดสิ้นชื่อ !! ไฟช็อตเกือบตัดแขนทิ้ง "ทนงศักดิ์ ศุภการ" เล่าสะท้อนย้อนนาทีชีวิต

Advertisement

เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานนม ผู้ชมละครหลายยุคเป็นต้องเห็นเขาผ่านหน้าจอทีวีแทบทุกช่อง ด้วยประสบการณ์และฝีมือการแสดงที่สุดล้ำลึกแบบหาตัวจับได้ยาก สำหรับ "ทนงศักดิ์ ศุภการ" ที่วันนี้เขาจะมาย้อนเล่าจุดเปลี่ยนในชีวิต ที่เจอมรสุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งเฉียดตายเพราะไฟช็อตเกือบต้องตัดแขน อีกทั้งเจ้าตัวต้องมาสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักด้วยโรคมะเร็ง ต้องเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงลูกถึง 3 คนด้วยกัน แต่ตอนนี้เจ้าตัวมีความรักครั้งใหม่อายุห่างกันถึง 20 ปี



ล่าสุด "พี่ทนงศักดิ์" ได้เปิดใจเรื่องราวชีวิตถึงจุดพลิกผัน รวมทั้งอัพเดตความรักครั้งใหม่กับสาวใสวัยละอ่อนอย่างหมดเปลือก ...




พี่นงอยู่วงการบันเทิงมากี่ปีแล้ว ?
ทนงศักดิ์ : เกือบ 40 ปีแล้ว



ทีมงานบอกว่าตอนแรกไม่ได้เป็นพระเอก ไม่ได้เป็นผู้ร้าย แต่เป็นตากล้อง ?
ทนงศักดิ์ : ใช่ๆ เริ่มทำงานตอนแรกเป็นช่างภาพก่อน เป็นช่างภาพถ่ายโฆษณา แล้วอยู่ๆ ไปเจอผู้กำกับ เขาก็ชวนมาเล่นเป็นพระเอกหนัง

แล้วทำไมตอนนั้นมีชื่อเสียงแล้วรับละครปีละเรื่อง ?
ทนงศักดิ์ : ช่วงนั้นคิดว่าอยากให้มันมีคุณภาพ แล้วเราก็ยังรักเรื่องการถ่ายรูปอยู่ก็เลยรับน้อย





แล้วช่วงไหนที่พี่หายจากวงการไป 4-5 ปี ?
ทนงศักดิ์ : ปี 29 คือเล่นตั้งแต่ปี 25 จนถึงปี 29 ก็หยุดไป ตอนนั้นรู้สึกว่าอกหักจากวงการ เราค่อนข้างซีเรียสกับการใช้ชีวิต มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่เป็นเหมือนที่เราคิด เราก็กลับไปถ่ายรูปเหมือนเดิม แต่บังเอิญไปเจอเพื่อนที่กำลังเปิดบริษัทโฆษณาเขาก็มาชวนว่ามาทำบริษัทกันไหม ก็เลยได้กลับไปทำงานถ่ายรูปอีกครั้ง หายไปประมาณสัก 3-4 ปี แล้วก็ได้กลับมาถ่ายแฟชั่นเป็นนายแบบลงหนังสือนิตยสาร ดิฉัน มันก็เลยเป็นช่วงที่ทางช่อง7 เขาเห็นแล้วเรียกกลับมาอีกครั้ง

ในช่วงนั้นพี่มีภรรยาและลูก 2 คน มีผลกระทบอะไรไหม ?
ทนงศักดิ์ : ก็มีผลกระทบอยู่บ้าง แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ จนกระทั่งแต่งงาน แล้วมีลูกตอนที่กลับมาเล่นละครแล้ว





ผู้ชายคนนี้ผ่านวิกฤติในการเปลี่ยนชีวิตถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกโดนไฟฟ้าแรงสูงช็อตที่ไหนพี่ ?
ทนงศักดิ์ : ที่สาทร เราขึ้นไปถ่ายรูป ก็เป็นวินาทีความเป็นความตาย มนุษย์ทุกคนรู้อยู่แล้วที่เราต้องตายเพราะเราเกิด เราไม่เคยคิดว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ณ วินาทีนั้นทำให้รู้เลยว่าความเป็น ความตายมันอยู่ใกล้กัน

ตอนนั้นรู้สึกตัวไหม ?
ทนงศักดิ์ : รู้สึกตัว จนกระทั่งไปโรงพยาบาลก็ยังรู้สึกตัวตลอด จำทุกโมเมนต์ตอนนั้นได้ตลอด ตอนนั้นมันชาไปทั้งตัว จริงๆ ไฟฟ้าแรงสูงไม่ได้ทำให้ตายไม่เหมือนไฟฟ้าแรงต่ำ ไฟฟ้าที่บ้านเนี่ย หัวใจหยุดเต้นได้ แต่ไฟฟ้าแรงสูงเนี่ย ที่มันตายเพราะมันคาเสา ส่วนใหญ่คือโดนตัดอวัยวะ คือแขน ขา ขาด ต้องโดนตัด



เห็นว่าคำวินิฉัยแรกคือจะตัดแขน ?
ทนงศักดิ์ : ใช่ แต่เขาไม่ได้บอกเรา คือมันขยับไม่ได้ มันห้อย เหมือนถือต้นไม้ไปโรงพยาบาล แล้วมันก็บวมเป่ง แล้วเราก็มั่นใจว่ามันจะไม่อยู่กับเราแล้ว แต่มันก็ยังอยู่ ถามว่ากลัวไหม กลัวแต่ใช้เวลาไม่กี่นาทียอมรับกับมัน มันไม่อยู่แล้วจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร



มีครั้งที่สองเกิดขึ้นกับพี่นงอีก ?
ทนงศักดิ์ : ก็ภรรยามาป่วยเป็นมะเร็ง ปี 2545 มันต้องใช้เวลาที่จะเยียวยาจิตใจ ที่ป่วยก็หนักแล้ว หมอบอกว่า 6 เดือน ปีนึงไม่เกิน แต่ก็อยู่จนถึง 3 ปี ระหว่าง 3 ปี ก็ต้องเข้า-ออก โรงพยาบาล จนสุดท้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แล้วก็เสีย

ตอนนั้นคุณพ่อ คุณแม่ คุณลูก ใครเครียดกว่ากัน ?
ทนงศักดิ์ : เราเองค่อนข้างจะเครียดอยู่เหมือนกัน เพราะว่าช่วงที่ภรรยาป่วย เราต้องมารับภาระดูแลลูกคนเดียว เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคือลูก ภรรยาป่วย แล้วเครียดเรื่องลูกด้วย งั้นเราก็มาดูแลลูกแล้วเราต้องมานั่งทำงาน แล้วเรื่องเวลาก็สำคัญ แล้วเด็กมันไม่เป๊ะ มันก็วุ่นวายไปหมด



เขาบอกว่าพี่ไปเจอกับแฟนปัจจุบันที่งานวิ่ง ?
ทนงศักดิ์ : ไปออกกำลังกาย ไปต่อยมวย แล้วก็บังเอิญเจอกัน มาเจอกันผู้หญิงคนนี้น่ารักดี

อายุห่างกันถึง 20 ปี ?
ทนงศักดิ์ : อันนั้นไม่ได้เลือก บังเอิญมันคลิกกันมากกว่า และบังเอิญเขาก็ผ่านชีวิตมาช่วงหนึ่งแล้ว



แล้วทำไมต้องขอแต่งงานในงานวิ่ง ?
ทนงศักดิ์ : ก็เราคิดว่าสนามวิ่งเรามีเพื่อนเยอะ แล้วก็มันเป็นการใช้สนามวิ่งในการสื่อสารเรื่องที่อยากจะบอกผู้คน

สินสอดพี่เก๋มาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวิ่งอีก ?
ทนงศักดิ์ : ก็ให้เป็นรองเท้าวิ่ง ให้เป็นนาฬิกา ให้เป็นเสื้อวิ่ง ให้เป็นอุปกรณ์การวิ่ง มันคือสมบัติที่คุณควรจะเก็บรักษาไว้ เพราะสุขภาพเนี่ย เงินทองหาที่ไหนก็ได้