ฟิลิปปินส์ปิดเทศบาลกรุงมะนิลาและกักบริเวณประชาชนเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วันตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ถึง 14 เมษายน เพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศ
ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ผู้นำฟิลิปปินส์ ประกาศคำสั่งนี้ในการปราศรัยช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม หลังประกาศยกระดับเตือนภัยไวรัสสู่ระดับสูงสุด หรือที่เรียกว่า Code Red Sublevel 2 ซึ่งถือว่าเป็นการปิดเมืองครั้งใหญ่ครั้งแรกในฟิลิปปินส์ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ โดยการปิดเมือง ครอบคลุม 16 เมืองและหนึ่งเทศบาลกรุงมะนิลา ทั้งนี้ รัฐบาลใช้มาตรการควบคุบผู้เข้าเมืองอย่างเข้มข้น ระงับการเดินทางทุกเส้นทางทั้งทางบก, ทะเลและอากาศภายในประเทศทั้งเข้าและออกกรุงมะนิลา เมืองหลวง ซึ่งเขาระบุว่า “เป็นการปิดเมืองหลวง” เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19
ดูเตอร์เตยังเห็นชอบกับมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งการห้ามชุมนุมใหญ่, การปิดโรงเรียนหนึ่งเดือน และการปิดชุมชนด้วย พร้อมทั้งขู่ลงโทษจำคุกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐบาลด้วย
ดูเตอร์เต ซึ่งก่อนหน้านี้ เข้าตรวจร่างกายหาเชื้อไวรัสด้วยเมื่อวันพฤหัสบดี เนื่องจากปรากฏอาการ และจะทราบผลตรวจวันเสาร์นี้ กล่าวว่า มาตรการต่าง ๆ จะรวมทั้งการห้ามชาวต่างชาติจากประเทศที่มีการระบาดของไวรัส เข้าฟิลิปปินส์ หลังจากพบมีการติดเชื้อภายในท้องถิ่นของฟิลิปปินส์รายแรกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งรวมตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 52 รายแล้ว มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ส่งผลให้ฟิลิปปินส์ต้องปิดกรุงมะนิลา
การควบคุมการเดินทางและการปิดเมืองกักบริเวณประชาชนครั้งนี้ จะเป็นมาตรการควบคุมเชื้อไวรัสภายในประเทศที่เข้มงวดที่สุดต่อจากจีนและอิตาลี
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดูเตอร์เต เดินทางไปเข้าร่วมงานหนึ่งกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งในเวลาต่อมาถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนทำให้ดูเตอร์เตต้องเข้าตรวจร่างกาย ขณะที่ รัฐมนตรี 6 คน, ส.ส. 16 คน, นายกเทศมนตรีกรุงมะนิลา 6 คน และผู้ว่าการธนาคารกลาง ต่างพากันกักตัวเองเพื่อเป็นมาตรการป้องกันล่วงหน้า
กรุงมะนิลา มีประชากรอย่างเป็นทางการเกือบ 13 ล้านคน แต่ตัวเลขที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก เพราะมีผู้เข้าเมืองที่ไม่ได้ผ่านการตรวจอีกจำนวนมากและยังมีผู้ที่ตั้งหลักปักฐานอย่างไม่เป็นทางการอีกหลายล้านคน