ปักกิ่ง, 6 มี.ค. (ซินหัว) — ขณะที่จำนวนผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) รวมทั่วโลกเพิ่มจำนวนใกล้ 100,000 รายเข้าไปทุกที ก็มีเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ออกมาเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเรียนรู้ประสบการณ์ของจีนเกี่ยวกับโรคระบาดนี้
และในที่สุด รายงานสถิติล่าสุดเมื่อ 23.00 น. ของวันที่ 6 มี.ค. ก็เผยว่าทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อยืนยันผลแล้วทั้งสิ้น 100,728 ราย และผู้เสียชีวิต 3,412 ราย โดยในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (5 มี.ค.) มีรายงานพบผู้ป่วยใหม่จากทั่วโลกสูงถึง 2,241 ราย
ในบรรดา 4 ประเทศหรือดินแดนที่รายงานพบผู้ติดไวรัสดังกล่าวรายแรกใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีกรณีหนึ่งเกิดในแอฟริกาใต้ซึ่งเกี่ยวข้องกับชายวัย 38 ปีที่เพิ่งเดินทางไปอิตาลีกับภรรยาของเขาเมื่อไม่นานมานี้
ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (BiH) มีรายงานพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเช่นกัน ซึ่งถือเป็นกรณีแรกที่พบในภูมิภาคสาธารณรัฐเซิร์ปสกา (Republika Srpska) 1 ใน 2 เขตการปกครองของประเทศแห่งนี้ ขณะที่ยิบรอลตาร์ (Gibraltar) ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรรายงานมีรายงานยืนยันพบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเช่นกัน
นอกจากนี้ เมื่อวันพฤหัสบดี (5 มี.ค.) ปาเลสไตน์ยังพบผู้ติดเชื้อ 7 รายแรก ซึ่งเป็นคนงานของโรงแรมในเมืองเบธเลเฮม ที่ติดเชื้อจากการติดต่อใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวชาวกรีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาพักโรงแรมช่วงวันที่ 23-27 ก.พ. ส่งผลให้ประเทศแห่งนี้ประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 1 เดือน
สถิติในวันพฤหัสบดีของบรรดาประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดมีดังนี้
– เกาหลีใต้มีผู้ป่วยยืนยันผลทั้งหมด 6,088 ราย และผู้เสียชีวิต 41 ราย
– ญี่ปุ่นมีผู้ป่วยยืนยันผลทั้งหมด 1,023 ราย โดยมี 706 รายมาจากเรือสำราญไดมอนด์ ปรินเซส ที่เคยถูกกักตัวไว้ที่ท่าเรือโยโกฮามาใกล้กรุงโตเกียว ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าผู้ติดเชื้อทุกรายจะได้รับการคุ้มครองภายใต้ระบบประกันสุขภาพของประเทศญี่ปุ่น โดยมีผลตั้งแต่วันศุกร์ (6 มี.ค.)
– อิหร่านมีผู้ป่วยยืนยันผลทั้งหมด 3,513 ราย และผู้เสียชีวิต 107 ราย ซึ่งทางการได้เปิดตัวแผนระดับชาติเพื่อต่อต้านการระบาดในวันพฤหัสบดี
อิตาลีมีผู้ป่วยยืนยันผลทั้งหมด 3,296 ราย และผู้เสียชีวิต 148 ราย ซึ่งรัฐบาลอิตาลีประกาศปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจนถึงวันที่ 15 มี.ค. เป็นอย่างน้อย
ในยุโรป มีหลายประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์และเบลเยียมที่มีผู้ป่วยยืนยันผลเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันในเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้นเป็น 82 รายในวันพฤหัสบดีจากวันก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 38 ราย ขณะที่เบลเยียมพบผู้ป่วยยืนยันผลรายใหม่ 27 รายเมื่อวันพฤหัสบดี ส่งผลให้ยอดรวมทั่วประเทศอยู่ที่ 50 ราย ซึ่งผู้ป่วยรายใหม่ที่พบในสองประเทศนี้ ส่วนใหญ่มีประวัติเดินทางไปอิตาลีเมื่อไม่นานนี้
สถานการณ์ในเยอรมนีและฝรั่งเศส สองประเทศเพื่อนบ้านประชากรสูงของเบลเยียม ก็น่าตกใจไม่ต่างกัน โดยในวันพฤหัสบดีเยอรมนีพบผู้ป่วยยืนยันผลเพิ่ม 138 ราย ส่งผลให้ยอดรวมกลายเป็น 400 ราย ส่วนฝรั่งเศสพบผู้ป่วยยืนยันผลเพิ่มในวันเดียวกัน 138 ราย ส่งผลให้ยอดรวมกลายเป็น 423 ราย ถือเป็นสถิติรายวันที่เพิ่มขึ้นสูงสุดของฝรั่งเศสในขณะนี้ และส่งผลให้การแข่งขัน ‘ปารีสมาราธอน’ ที่เดิมมีกำหนดจัดวันที่ 5 เม.ย. ถูกเลื่อนออกไปเป็น 18 ต.ค.
ด้านสหรัฐอเมริกามีรายงานจากฐานข้อมูลหลายแห่งของสื่อเจ้าใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ ระบุพบผู้ป่วยยืนยันผลทั้งหมดสูงถึง 200 รายจาก 20 รัฐ และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 รายในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี
รัฐวอชิงตัน, ฟลอริดา, แคลิฟอร์เนีย, ฮาวาย และแมริแลนด์ เป็นรัฐในสหรัฐฯ ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมทั่วรัฐ อีกทั้งยังมีคำสั่งให้เรือสำราญแกรนด์ปรินเซสเลื่อนการเดินทางกลับไปซานฟรานซิสโก หลังพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รายแรกในรัฐแคลิฟอร์เนียที่เพิ่งกลับจากการล่องเรือสำราญลำนี้
ระหว่างการบรรยายสรุปรายวันในวันพฤหัสบดี อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่อยู่ในระดับ ‘ระบาดใหญ่’ แม้มีสัญญาณน่ากังวลสูง
“แม้ว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ และอาจลุกลามจนกลายเป็นการระบาดใหญ่ แต่ขณะนี้ก็มีหลายประเทศที่ชี้ให้เห็นว่า พวกเขาสามารถควบคุมโควิด-19ได้” ทีโดรสกล่าว
เขายกย่องบรรดาประเทศที่ต่อสู้กับโรคระบาดอย่างหนัก พร้อมชี้ว่าประเทศเหล่านี้ส่งสัญญาณเชิงบวกและได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเชื้อไวรัสดังกล่าวแล้ว
ทีโดรสเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ครอบคลุม โดยเน้นว่าพันธะและการแทรกแซงทางการเมืองอาจเกิดขึ้นได้ด้วยเจตจำนงเพื่อให้ทุกประเทศยับยั้งการติดโรคโควิด-19 สำเร็จ
เพื่อค้นหาวิธีที่ดีที่สุดในการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัส เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญหลายคนจึงหันมาเรียนรู้ประสบการณ์การต่อต้านโรคระบาดของจีน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากอาเซอร์ไบจาน เบลารุส จอร์เจีย มอลโดวา อาร์เมเนีย เติร์กเมนิสถาน และสำนักเลขาธิการองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ได้เรียนรู้ความเชี่ยวชาญของจีนผ่านการประชุมทางวิดีโอกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีน
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ชิลีประกาศจะส่งผู้เชี่ยวชาญไปยังจีนเพื่อศึกษาวิธีการของจีนในการสู้โรคระบาดดังกล่าว
เจมี มานาลิช (Jaime Manalich) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชิลีกล่าวว่า “รูปการณ์ของจีนสำคัญมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมาตรการที่พวกเขาใช้ส่วนใหญ่เป็นมาตรการด้านสาธารณสุข การให้ข้อมูลแก่ชุมชน และการควบคุมการติดต่อระหว่างผู้คน”
มาเรีย ฟาน แกรร์โคเฟอ (Maria van Kerkhove) หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของโครงการเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพ กล่าวว่า การทำงานของจีนได้ชี้ให้เห็นมาตรการขั้นพื้นฐานที่ควรทำเพื่อควบคุมโควิด-19 เช่น มาตรการในการระบุตัวผู้ติดเชื้อและผู้มีประวัติติดต่อที่เกี่ยวข้อง และการระดมผู้คนมาประจำหน้าที่ต่างๆ เธอยังเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ ใช้ประโยชน์จากมาตรการของจีนอย่างเต็มที่
บรูซ ไอล์วาร์ด (Bruce Aylward) หัวหน้าทีมภารกิจร่วมจีน-องค์การอนามัยโลกต้านโควิด-19 ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์ว่า เขาได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ 7 บทจากการสังเกตการทำงานของจีนอย่างใกล้ชิด เช่น การใช้มาตรการที่เด็ดขาด การเคลื่อนย้ายหน่วยรักษาพยาบาล การให้บริการต่างๆ ทางออนไลน์ และการกักตัวผู้ติดเชื้อแยกอย่างรวดเร็ว
นานาชาติสามารถตอบโต้ตามวิธีการต่างๆ ของจีนได้ แต่ต้องใช้ทั้งความเร็ว เงิน จินตนาการ และความหาญกล้าทางการเมือง ผสมผสานร่วมกันด้วย
ชาร์ลส์ พาวล์ (Charles Powell) สมาชิกสภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักรและประธานสถาบันบริหารธุรกิจซาอิด (Said Business School) แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แสดงความคิดเห็นว่า ประเทศอื่นๆ ได้พยายามเลียนแบบการตอบสนองของจีนในระดับที่ต่ำกว่า
“ผมกำลังดูสิ่งที่รัฐบาลอิตาลีกำลังพยายามทำ นั่นคือการแยกประเทศออกเป็นสองส่วน และดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งผมว่าคนส่วนใหญ่ชื่นชมการดำเนินงานของจีน” เขากล่าว
บทความที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวเอพีแห่งสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกเห็นพ้องกันว่าประสบการณ์ของจีนได้ช่วยซื้อเวลาให้แก่ประเทศอื่นๆ สำหรับการเตรียมความพร้อมและการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติของไวรัส
นิตยสาร ‘ดิ อิโคโนมิสต์’ (The Economist) ยังระบุในบทความเด่นว่า ประสบการณ์ของจีน “ให้บทเรียนที่สำคัญ 3 ประการ นั่นคือ การพูดคุยกับสาธารณชน การชะลอการแพร่กระจายของโรค และการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น”
ด้วยเหตุที่จีนได้ซื้อเวลาให้รัฐบาลหลายแห่งได้เตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว “หลายประเทศจึงควรใช้เวลาและความรู้ที่ได้ให้เป็นประโยชน์” เนื้อหาในบทความระบุดังนี้