"ผีน้อย" หรือ "ผีร้าย" และอันตราย "ไม่มีแผนรับมือ"

2020-03-04 13:10:40

"ผีน้อย" หรือ "ผีร้าย" และอันตราย "ไม่มีแผนรับมือ"

Advertisement

ใครนะตั้งชื่อให้เป็น "ผีน้อย" ฟังดูน่ารักน่าชัง สำหรับแรงงานไทยลับลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ แหล่งขุดทองยุคปัจจุบัน

เพราะเมื่อเอ่ยถึง "ผีน้อย" คนมักจะนึกไปถึง "แคสเปอร์" ตัวเอกในหนังผีฮอลลี่วู้ด เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เอาชนะใจคนดู ในฐานะผีเด็กที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ชอบหลอกและหลอกใครไม่เป็น แม้แต่มนุษย์

บุคลิกจึงตรงข้ามชัดเจนกับแรงงานไทยที่ลักลอบเข้าไปทำงานในต่างประเทศ โดยใช้สาระพัดวิธีที่ไม่ผ่านขั้นตอนอันถูกต้องตามกฎหมาย

ผ่านบริษัทแรงงานเถื่อนบ้าง นายหน้าเถื่อนบ้าง ไปขึ้นเครื่องประเทศเพื่อนบ้านหรือผ่านประเทศอื่นบ้าง หรือแม้แต่ซื้อทัวร์ไป จากนั้นก็หายวับเป็นขอมดำดินบ้าง ตัวเลขประมาณการรวมแล้วมากกว่าหนึ่งแสนคน

ไม่มีตัวตนในสาระบบ ไม่ต้องจ่ายภาษี ไม่เป็นสมาชิกกองทุนคนไปทำงานต่างประเทศ ทำผิดกฎหมายต่างประเทศ แต่ได้ใช้ประโยชน์สาธารณูปโภคพื้นฐานส่วนกลางฟรีๆ จัดอยู่ในประเภท ถ้าเป็นประโยชน์ส่วนตัว-เอา แต่ไม่คิดคำนึงถึงส่วนรวม

แต่พอเจอสถานการณ์ "เสี่ยงตาย" จากไวรัสโควิด 19 กลับร้องแรกแหกกะเฌอขอกลับประเทศไทย แถมยื่นข้อเรียกร้องชนิดผู้คนที่ทำถูกกฎหมายทั่วไปถึงขั้นส่ายหน้า ว่าเว่อร์ไปหรือเปล่า

ทั้งรัฐบาลไทยต้องออกค่าใช้จ่าย ค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับให้ ระหว่างที่ยังไม่ได้กลับให้จัดส่งหน้ากากอนามัยไปให้ และเมื่อกลับถึงไทยแล้ว ต้องหางานให้ทำด้วย

ไม่ว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม มองในแง่สิทธิมนุษยชนและการเป็นประชาชนคนไทย บางข้ออย่างเรื่องส่งหน้ากากอนามัยหรือประสานส่งตัวกลับ ก็มีเหตุมีผลพอสมควร

แต่ข้อต้องหางานให้ทำ ทั้งที่คนไทยในประเทศตกงานก่อนหน้านี้ หรือเพิ่งตกงานหมาดๆจากผลพวงพิษโควิด 19 รวมทั้งที่ยังหางานทำไม่ได้ มีอยู่ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านคน

ส่วนค่าตั๋วเครื่องบิน หากมองในแง่มนุษยธรรม และเป็นภาระที่รัฐบาลต้องช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ในต่างประเทศ แต่กรณีนี้ก็ควรต้องพิจารณาที่มาที่ไป ก่อนคนเหล่านี้จะเผชิญกับวิกฤติจนต้องขอกลับบ้านด้วยว่าเหมาะสมแค่ไหน หรือต้องมีเงื่อนไขชำระคืนหรือไม่ ในเมื่อช่วงที่ผ่านๆมา ถือเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยทั่วไปเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ได้ยากมากขึ้น อีกทั้งเงินช่วยเหลือก็เป็นเงินงบประมาณที่มาจากการจ่ายภาษีของประชาชนที่ปฏิบัติตามกฎหมาย

จริงอยู่ แม้อาจจะมีบางส่วนแย้งว่า การขอเดินทางกลับประเทศไทยของแรงงานผิดกฎหมายเหล่านี้ อยู่ในช่วงเวลาที่ทางการเกาหลีใต้ประกาศให้แรงงานเถื่อนไปรายงานตัวเพื่อสมัครใจเดินทางกลับได้โดยไม่ถูกลงโทษหรือเสียค่าปรับ คือระหว่าง 11 ธันวาคม 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2563 แต่จำนวนที่ไปรายงานตัวดังกล่าว กลับปรากฎให้เห็นชัดเจนเฉพาะตั้งแต่ไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาดมีคนติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างต๋อเนื่องในเกาหลีใต้ จนรัฐบาลประกาศเตือนภัยขั้นสูงสุดเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 63 ที่ผ่านมา

สะท้อนสาเหตุสมัครใจเนื่องจากการแพร่ระบาดหนักในเกาหลีใต้ ไม่ใช่เรื่องสำนึกผิด

ประเด็นปัญหาถัดมา สำหรับแรงงานเถื่อนของไทยที่เริ่มทยอยกลับแผ่นดินมาตุภูมิ ฟังจากนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข คือยอมรับว่าไม่มีแผนรับมือกับการอพยพหนีภัยครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ต่างจากคนไทยชุดแรกที่เดินทางกลับจากเมืองอู๋ฮั่น ซึ่งมีเพียงกว่า 130 คนเท่านั้น โรงพยาบาลและบ้านพักที่ฐานทัพเรือสัตหีบจึงสามารถรองรับช่วงกักดูตรวจสอบอาการ 14 วันได้

แต่สำหรับจำนวนแรงงานเถื่อนระลอกนี้ ข้อมูลจากนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจมีจำนวนมากถึง 10,000 ราย

สิ่งที่น่าเป็นห่วงตามมา คือการเดินทางแบบ "ทยอยเดินทาง" ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พร้อมกับมีคนต้องสงสัยมีไข้หรืออาจติดเชื้อได้ ขณะที่มาตรการ "กักตัว 14 วัน" คงไม่มีให้เห็นแน่นอนแล้ว แต่มาตรการควบคุม รองนายกฯ 2 คนก็พูดไปคนละทาง นายอนุทิน บอกว่าต้องใช้มาตรการนี้รับมือแรงงานที่เดินทางกลับมา แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลับบอกไม่มีกฎหมายให้สามารถทำได้ ทั้งที่เมื่อคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้โควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว พนักงานควบคุมโรคติดต่อจะมีอำนาจสั่งการได้หลายอย่าง รวมทั้งให้ผู้ต้องสงสัยไปรับการตรวจพิสูจน์ แยก กักกัน และคุมไว้สังเกตุการณ์ ตาม พรบ.โรคติดต่อ ปี 2558

เท่ากับแรงงานที่เดินทางกลับประเทศเหล่านี้ จะผ่านขั้นตอนแค่ตรวจสภาพอาการไข้เบื้องต้น และทำบันทึกสถานที่ที่อยู่ปัจจุบันไว้กับเจ้าหน้าที่เท่านั้น จากนั้นสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยไม่มีใครทราบ แม้จะมีข้อกำหนดจากทางการให้เดินทางกลับที่พัก และกักตัวเองไว้ 14 วันก็ตามที แต่ในทางปฏิบัติ เป็นที่ทราบกันดีว่า การกักตัวเองอย่างโดดเดี่ยวเคร่งครัด ห้ามเข้าใกล้คนอื่นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะต้องมีการพบปะ ทักทาย เยี่ยมเยียน หรือกระทั่งตั้งวงดื่มกินสังสรรค์ต้อนรับการกลับบ้าน

การกระทำต่างๆเหล่านี้แหละ ที่จะนำพาไปสู่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งจะมีระยะฟักเชื้อประมาณ 14 วัน หรืออาจจะมากกว่า นอกจากนี้ ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ ขณะที่ยังไม่แสดงอาการไข้ได้ด้วย

หากปล่อยปละละเลย หรือไม่ใช้มาตรการป้องกันที่เข้มข้นอย่างที่บุคคลากรทางการแพทย์ของไทยเคยถือปฏิบัติมา เมื่อโดนฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซง โอกาสที่ระบบสาธารณสุขและการป้องกันโรคระบาดร้ายแรงที่ไทยเคยได้อันดับ 6 ของโลก

อาจสูญหายหลุดลอยออกไปได้ทุกเมื่อครับ