"คุณหญิงสุดารัตน์" อ้าง "ดร.วีรพงษ์" ประเมินขณะนี้ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ในเร็ววันนี้ คาดสภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างน้อยอีก 5 ปี ซัดทีมเศรษฐกิจไม่มีความรู้ความเข้าใจ ออกนโยบายไม่ตรงจุด รัฐบาลเผชิญปัญหาความชอบธรรม ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมเศรษฐกิจโลก
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์ข้อความผ่านเพจ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ระบุว่า “เศรษฐกิจไทยในมหาวิกฤติการณ์ ที่ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ฝ่าวิกฤตินี้ได้ด้วยรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย-มีทีมเศรษฐกิจที่ดี-มีที่ปรึกษาที่ดี-ออกนโยบายตรงจุด-มีประสิทธิภาพแก้ปัญหาปากท้อง”
ตามที่มีพี่น้องประชาชนหลายท่านส่งข้อความเข้ามาว่า อยากฟังการบรรยายของ “ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร” อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ แต่ไม่สามารถมาร่วมงานหรือติดตามฟังไลฟ์สดได้ หน่อยจึงสรุปประเด็นหลักๆ ที่น่าสนใจของ ดร.วีรพงษ์ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ “ทีมเศรษฐกิจไม่มีความรู้ความเข้าใจต่อภาวะทางเศรษฐกิจ - ออกนโยบายไม่ตรงจุด – รัฐบาลเผชิญปัญหาความชอบธรรม ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมเศรษฐกิจโลก
ดร.วีรพงษ์ เล่าถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤติเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และกระบวนการยุติธรรมไปพร้อมๆ กันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนเรียกได้ว่าเราอยู่ในยุคของ “มหาวิกฤติการณ์” อันเป็นผลจากสองปัจจัย
ปัจจัยแรกคือ การที่ทีมทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่มีความรู้ความเข้าใจต่อภาวะทางเศรษฐกิจและกลไกทางการเงิน ทำให้ออกนโยบายที่ไม่ตรงจุด-ไร้ประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหา สะท้อนผ่านบทสัมภาษณ์หลายครั้งของทีมเศรษฐกิจฝ่ายรัฐบาล เช่น การที่ทีมเศรษฐกิจบางคนบอกว่า การส่งออกไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมีมูลค่าถึง 70เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ประชาชาติ ด้วยเหตุนี้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจึงพึ่งพาอยู่กับภาวะของเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในยามที่เศรษฐกิจโลกดี เศรษฐกิจไทยก็จะได้รับผลพลอยได้ตามไปด้วย แต่ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยก็ขาดความรู้ความเข้าใจในการแก้ไขปัญหา ทำให้การขยายตัวของการส่งออกไทยถดถอยมาเรื่อยๆ จนเกือบจะติดลบและล้าหลังที่สุดในอาเซียน
ปัจจัยที่สองคือ ปัญหาความชอบธรรมของระบอบการปกครอง จากการที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การบริหารประเทศโดยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารและรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจโดยกติกาที่ไม่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เศรษฐกิจไทยซึ่งเคยเป็นประเทศกำลังพัฒนาขั้นสูงและเคยมีความหวังว่าเราจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่พอเกิดการยึดอำนาจก็ส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยหยุดชะงักลงอย่างน่าเสียดาย ปัญหาความชอบธรรมของการปกครองนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการยอมรับจากนานาประเทศ-ประชาคมเศรษฐกิจโลก
เมื่อเราอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ได้อำนาจมาอย่างไม่ชอบธรรม ประเทศไทยก็สูญเสียโอกาสในการขึ้นโต๊ะเจรจาการค้าแบบทวิภาคีกับประเทศอื่นๆ จนสูญเสียผลประโยชน์ไปมหาศาล เอกชนจำนวนมากได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ยังเป็นเหตุผลให้นานาประเทศใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้ากับไทยในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การส่งออกของไทยเกิดปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่กัน
“รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ-ขาดความรู้อย่างมืออาชีพ-ทำนักท่องเที่ยวต่างชาติหมดความเชื่อมั่นในด้านความมั่นคง-ความปลอดภัย-แก้ไขโรคระบาด”
ภายใต้สภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าเช่นนี้ รัฐบาลไทยก็หวังที่จะหันไปพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อมาทดแทนรายได้จากการส่งออกที่กำลังหดตัวลงโดยหวังว่าการท่องเที่ยวจะเป็นตัวช่วยขับดันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่ด้วยความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของรัฐบาลที่ขาดความรู้อย่างมืออาชีพ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างหมดความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงและปลอดภัยต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย ตั้งแต่กรณีเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต มาจนถึงความไร้ประสิทธิภาพในการรับมือกับโรคระบาดที่เข้ามาซ้ำเติมอยู่ในปัจจุบัน เราจึงหมดหวังที่จะหันไปพึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นตัวหารายได้แทนการส่งออกที่กำลังถดถอย “ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์-ไม่เห็นการฟื้นตัว-เห็นแต่นโยบายป่าหี่ ไม่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน”
ในช่วงท้าย ดร.วีรพงษ์ ประเมินว่าขณะนี้ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ในเร็ววันนี้ โดยคาดว่าไทยน่าจะต้องประสบอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ไปอีกนาน อย่างน้อยก็อีก 5 ปี ตามวัฏจักรของการขึ้นลงทางเศรษฐกิจ และเราก็ไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมเศรษฐกิจโลกไม่ได้ การจะเอาตัวรอดในสภาวะทางเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ได้ ดร.วีรพงษ์ เห็นว่า เราจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยจากประชาชนก่อน ถึงจะสามารถมีนโยบายที่มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริงและเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติกลับคืนมาได้
นอกจากนี้ยังต้องเป็นรัฐบาลที่มีทีมเศรษฐกิจและที่ปรึกษาที่ดี มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และรอบด้าน จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ตรงจุด ไม่ใช่ดำเนินนโยบายแบบปาหี่ที่ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ในการบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน สถาบันสร้างไทย และพรรคเพื่อไทย จะได้จัดกิจกรรมสัมมนาสาธารณะเช่นนี้อีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มาร่วมประเมินทิศทาง-เสนอทางออกจากวิกฤติ
ในครั้งต่อไป มาร่วม “ฝ่าวิกฤติ COVID-19” ที่ Think Lab พรรคเพื่อไทย ไปด้วยกันค่ะ วัน เวลา จะรีบแจ้งให้ทราบโดยด่วนค่ะ
ขอบคุณเพจคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan