ลุงป้าติดโควิด 19 โดนอ่วม สัญญาณอาจคุมเข้มระดับ 3

2020-02-27 13:00:17

ลุงป้าติดโควิด 19 โดนอ่วม สัญญาณอาจคุมเข้มระดับ 3

Advertisement

ากเรื่อง "คุณป้ามหาภัย" ที่เกาหลีใต้ ปฏิเสธการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ทั้งที่เป็นไข้ไปหาหมอ จากนั้นใช้ทั้งบริการรถสาธารณะ เดินทางไปทั่วเหมือนคนปกติทั่วไป เข้าโบสถ์ร่วมกิจกรรม ดินเนอร์ในโรงแรม สุดท้ายกลายเป็น super spreader ในที่สุด


ซูเปอร์ สแปรดเดอร์ หมายถึงผู้ติดเชื้อรายเดียวที่แพร่กระจายเชื้อในวงกว้าง ทำให้คนพลอยติดโรคไปด้วยในอัตราส่วนที่สูงกว่ามาตรฐาน

จึงเป็นทั้งกรณีศึกษา และสะท้อนคุณภาพระบบป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโรคอันตรายในเกาหลีใต้อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น

เพราะทำเอาจำนวนคนติดเชื้อโควิด 19 ในเกาหลีใต้พุ่งทะยานขึ้นหลายเท่าตัวจนแตะหลักพันภายในเวลาไม่นาน ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งตรวจพบผู้ป่วยโควิด 19 ในลำดับต้นๆ ยังอยู่ในปริมาณ 30 กว่าๆ

ก่อนเกิดกรณี ลุงป้า ที่ซื้อตั๋วในแคมเปญโปรโมทลดราคาของสายการบินแอร์เอเชียไปเที่ยวฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น และกลับมาพร้อมของแถม ติดเชื้อทั้งลุงทั้งป้า แถมลามไปติดถึงหลานวัยเพียง 8 ขวบ

ส่งผลกระทบถึงคนอื่นๆที่อาจพลอยฟ้าพลอยฝนได้รับเชื้อไวรัสตัวนี้โดยไม่รู้ตัว ทั้งเจ้าหน้าที่ รพ. ที่ไปตรวจ สาขาธนาคารที่ทำงานของลูกชายซึ่งเป็นพ่อของเด็กที่ติดเชื้อ โรงเรียนของหลานที่ต้องสั่งปิดชั่วคราวและต้องเฝ้าดูอาการเพื่อนร่วมชั้นและครูผู้สอน ยังไม่นับผู้โดยสารร่วมเที่ยวบินขากลับ และแอร์โฮสเตส รวมแล้วเกือบๆ 100 คน

สาเหตุเกิดจากตอนกลับจากญี่ปุ่นแล้วเริ่มอาการเป็นไข้ไปพบแพทย์ที่รพ.และแอดมิท แล้วไม่ยอมบอกความจริงเรื่องเพิ่งเดินกลางกลับจากฮอกไกโด พื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาด

หนำซ้ำคุณป้าที่ไปเที่ยวด้วยกัน ยังเป็นคนไปเฝ้าคนไข้ที่ รพ. อีกต่างหาก

จึงนำไปสู่ความโกลาหลที่ว่า เพราะใครๆที่อยู่ใกล้ชิด และดูแลรักษา ไม่ได้ระแวดระวังตนอย่างที่ควร

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณลุงที่เป็นอดีตทหารเกษียณคนนี้ ยังไม่เข้าข่ายเป็น "ซูเปอร์ สแปรดเดอร" จนกว่าจะพบตัวเลขของบุคคลที่อาจได้รับเชื้อจากคุณลุงในจำนวนที่มากกว่าปกติเสียก่อน

แต่สิ่งที่เป็นอุทธาหรณ์ คือไม่ยอมให้ข้อมูลความจริงตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจสามารถเชื่อมโยงถึงขั้นถูกกล่าวหาว่า "ไม่รับผิดชอบ" ได้ ในสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดยังรุนแรงต่อเนื่อง และกระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับระบบควบคุมป้องกันโรคติดต่อของไทยอย่างมาก สมกับที่ได้รับการจัดอยู่ในอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเซีย

จึงเป็นจุดเปราะบางที่ชวนวิตกกังวล หากคนที่สุ่มเสี่ยง ไม่แน่ใจ หรือปกปิดการเดินทางไปพื้นที่แพร่ระบาดของโควิด 19 จะไม่ยอมบอกความจริงเหมือนกับคุณลุงคนนี้อีก

ความจริงประเทศไทย ถูกมองอย่างกังขาจากบางองค์กรในต่างประเทศ เพราะจำนวนคนติดเชื้อยังอยู่ในระดับต่ำ และไม่มีผู้เสียชีวิต แต่หากศึกษาระบบและศักยภาพ รวมทั้งความตั้งใจของบุคคลากรในระบบสาธารณสุขของไทย จะได้คำตอบที่แจ่มแจ้ง เช่นเดียวกับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งในอีกหลายประเทศ แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วยังเทียบเคียงกับประเทศไทยไม่ได้

อย่างไรก็ดี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีสาธารณสุข เคยพูดถึงความเข้มข้นในการยกระดับการป้องกันเพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโควิด 19 ไปเป็นระยะ 3 แต่สุดท้ายแค่ประกาศเป็นโรคติดต่อร้ายแรง แต่ยังคงอยู่ระยะ 2 ต่อไป ด้วยยังเขื่อมั่นในระบบและศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทย

นี่จึงอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้น่าเป็นห่วงมากขึ้น ไม่ว่าจะดูจากกรณีเกาหลีใต้ อิหร่าน หรือแม้แต่อิตาลี่ ซึ่งทั้งยอดผู้ติดเขื้อและเสียชีวิตมีมากเกินกว่าจะคาดคิด

ประกอบกับคำเตือนของนักระบาดวิทยา จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา ว่าอาจไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ สอดรับกับแพทย์จากอีกหลายประเทศคาดหมายว่า อาจมีคนติดเชื้อโควิด 19 ภายในสิ้นปีนี้ ระหว่าง 40-70% ของคนทั่วโลก และอาจมีตนตายจากโรคนี้สูงถึง 100 ล้านคน

แม้จะเป็นเพียงคาดการณ์ แต่เมื่อดูจากปัจจัยประกอบหลายอย่าง อาทิ ติดต่อจากคนสู่คนได้โดยไม่ต้องผ่านพาหะ การติดเชื้อแล้วแต่ยังไม่แสดงอาการให้เห็น และ ระบบคัดกรองที่สนามบินสามารถตรวจจับพบได้ไม่ถึง 50% ล้วนเป็นแรงผลักที่อาจทำให้โควิด 19 สร้างความเสียหายรุนแรงอย่างคาดคิดไม่ถึง

ฉะนั้น อย่าชะล่าใจครับ ภัยร้ายจากไวรัสตัวนี้ ยังพร้อมขย้ำเหยื่อผู้โชคร้ายได้เสมอ