สธ.แนะเลี่ยงการเดินทางไปเกาหลีใต้

2020-02-21 15:00:48

สธ.แนะเลี่ยงการเดินทางไปเกาหลีใต้

Advertisement

สธ.แนะเลี่ยงการเดินทางไปเกาหลีใต้ เผยผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  รักษาหายเพิ่มอีก 2 ราย ไม่มีป่วยเพิ่ม ส่วนที่โคม่าก็มีสัญญาณที่ดี ยืนการติดต่อผ่านไอ จาม ขอร่วมด้วยช่วยกันหยุดการแพร่เชื้อ แต่พร้อมวางระบบรับมือระยะ 3 เต็มที่ ขณะที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เล็ง พัฒนาวัคซีน หลังเพาะเชื้อสำเร็จ ด้านกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกไม่น้อยหน้า จ่อวิจัย “ฟ้าทะลายโจร” ฆ่า COVID-19 คาดใช้เวลา 1 เดือนรู้ผล 

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวความคืบหน้าโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ว่า จำนวนผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนาฯ ในไทยยังคงที่ 35 ราย รักษาหายเพิ่มอีก 2 ราย รวมรักษาหายแล้ว 19 ราย เหลือรักษาในรพ. 16 ราย ส่วน 2 คนที่อาการรุนแรงนั้น ในรายที่ใส่เครื่องช่วยพยุงการทำงานของปอดนั้นยังอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่อาการดีขึ้นตามลำดับ อาการหลายอย่างชี้ชัดว่าน่าจะดีขึ้น ส่วนรายที่ป่วยวัณโรคร่วมด้วยอาการยังทรงตัว  สำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.– 20 ก.พ.มี 1,151 ราย กลับบ้านแล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 941 ราย ยังอยู่ในรพ. 210 ราย ทั้งนี้เฉพาะวันที่ 20 ก.พ. มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคเพิ่ม 99 คน ที่เพิ่มมากเพราะขยายการคัดกรองครอบคลุมโรคปอดอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่ต้องขยายมายังกลุ่มนี้ด้วย ก็เพื่อให้แน่ใจว่าการที่ไม่พบผู้ป่วยเพิ่มตอนนี้เพราะไม่มีผู้ป่วยจริงๆ หรือเป็นเพราะเราหาไม่เจอกันแน่ ซึ่งพบผู้ป่วยปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุ 27 ราย


นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยกระดับการเฝ้าระวังประเทศเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการแล้ว เพราะมีจำนวนผู้ป่วยก้าวกระโดด ถ้าไม่นับการพบผู้ป่วยบนเรือสำราญ เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีผู้ป่วยมากเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ดังนั้นตอนนี้ที่ไทยเฝ้าระวังอยู่จะมีจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง มาเก๊า และไชนีสไทเป อย่างไรก็ตามเราไม่ห้ามการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง แต่ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็น หากจำเป็นจริงๆ ก็ขอให้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย กินอาหารร้อน ใช้ชอนกลาง ล้างมือบ่อยๆ พกเจลล้างมือด้วย หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หลีกเลี่ยงคนไอจาม  สำหรับการระบาดมี 2 แบบคือ 1. Droplets หรือละอองฝอยจากการพูด ไอ จาม 2. Air Borne คือเป็นละอองฝอยขนาดเล็ก แพร่ทางอากาศ ทั้งนี้ยืนยันว่าเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพร่เชื้อผ่านทางละอองฝอยจากการพูด ไอ จาม ไม่ใช่การแพร่ทางอากาศ การป้องกันก็คือสวมหน้ากากอนามัย กินร้อน ช้อนกลางล้างมือ

นพ.ธนรักษ์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์ในประเทศไทยยังนิ่ง ความเสี่ยงไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น แต่เรามีตัวอย่าง 3 ประเทศในเอเชียที่มีผู้ป่วยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงของไทยจึงยังมีอยู่จากนักท่องเที่ยว แต่เราคัดกรองอย่างเข้มข้นก่อนขึ้นเครื่อง ประกาศบนเครื่อง ลงเครื่องก็ต้องคัดกรอง ถ้าเข้ามาในประเทศได้ก็ติดตามอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราต้องทำคือการยืดระยะเวลาการแพร่ระบาดในระยะที่ 2 หรือวงจำกัดนี้ออกไปให้นานที่สุดเพื่อให้มีเวลาในการเตรียมบุคลากร สถานพยาบาล และอุปกรณ์เพื่อรองรับการระบาดในวงกว้างที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จำนวนผู้ป่วยจะต้องไม่มากเกินกว่าศักยภาพของ รพ.ที่จะรับได้

เมื่อถามว่า รพ.ของไทยค่อนข้างแออัด หากอนาคตมีการระบาดในวงกว้างจะต้องปรับเรื่องสถานพยาบาลใหม่หรือไม่ นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า จะมีการบูรณาการทุกภาคส่วน ในรับจังหวัด ระดับเขต โดยนำเอาเตียงว่าง ห้องแยกโรค บุคลากร ในจังหวัด ในเขตมารวมกัน แล้วดูแลในพื้นที่ หรือหากจำเป็นต้องปรับรพ.แห่งใดแห่งหนึ่งเพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19  เฉพาะเลยนั้น รพ.อีกแห่งในพื้นที่จังหวัด หรือเขตจะต้องมาสนับสนุนงานอื่นๆ งานเดิมของรพ.แห่งนี้แทนด้วย ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานรพ.สังกัดกองทัพก็จะเข้ามาให้การช่วยเหลือตรงนี้ด้วย

นพ.ธนรักษ์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เราจะพร้อม ส่วนจะรับได้แค่ไหน จะแพร่กระจายหรือไม่ อยู่ที่เราว่าจะชะลอระยะที่ 2 ได้นานแค่ไหน คนไทยตระหนกหรือไม่ หรือถ้าคนไทยร่วมมือกัน ถ้าเราทำได้อย่างนั้นจริงเราจะรับมือได้ แต่ถ้าทุกอย่างวุ่นวาย สับสน ไม่มีใครฟังใคร เชื่อแต่ข่าวลือก็ทำให้การทำงานยากขึ้น สิ่งสำคัญในการแพร่กระจายวงกว้างอำนาจอยู่ที่คนป่วย เพราะเป็นคนที่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ เราจึงขอร้องหากมีไข้ ไอ จาม ขอให้อยู่กับบ้าน พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ ป้องกันตัวเองไม่ให้แพร่เชื้อสู่คนในบ้านซึ่งเป็นคนที่คุณรักทั้งนั้น หากไม่ไหวให้มาพบแพทย์โดยสวมหน้ากากอนามัยด้วย จะช่วยเหลือประเทศได้มาก หากรู้ตัวว่าติดเชื้อขอให้ตั้งสติ และระลึกเสมอว่าโรคต้องหยุดที่เรา เราต้องไม่แพร่สู่คนอื่น ขอให้ช่วยกันคนละม้ายคนละมือเพื่อให้ประเทศก้าวผ่านความยากลำบากนี้ไปให้ได้

ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าน้ำยาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา ของกรมวิทยาศาสตร์มีเพียงพอ และตอนนี้ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายพัฒนาห้องแล็บที่สามารถตรวจเชื้อได้ คือโรงเรียนแพทย์ สถาบันบำราศ และรพ.บำรุงราษฎร์ ทั้งนี้หากรพ.ใด ตรวจได้ขอให้ทำเรื่องมาที่กรมวิทยาศาสตร์เพื่อไปทดสอบ และตรวจมาตรฐานก่อน ซึ่งขณะนี้กรมฯ กำลังเร่งพัฒนาให้สามารถตรวจในรพ.อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมสามารถเพาะเชื้อไวรัสโคโรนาในเซลล์ได้แล้ว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาวัคซีนป้องกัน และยารักษาโรคนี้ได้ โดยจะร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์การเภสัชกรรม และสถาบันวัคซีน ในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนต่อไป ซึ่งต้องใช้เวลา แต่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

ขณะที่ นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ กรมฯ จะลงนามความร่วมมือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนำฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ต้านการอักเสบ และต้านไวรัส โดยเฉพาะไวรัสในกลุ่มโรคทางเดินหายใจ มาทดลองว่าจะสามารถต้านไวรัสโคโรนนา 2019 ได้หรือไม่ โดยจะให้กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนไทยสุขภาพดี 10 คน รับประทานยาฟ้าทะลายโจร และอยู่ในรพ.5 วัน จากนั้นจะเอาซีรัม ของกลุ่มตัวอย่างไปใส่เชื้อไวรัสโคโรนาเพื่อดูว่าจะสามารถทำให้เชื้อตายได้หรือไม่ ทั้งนี้การทดลองจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน