2 ผอ.รร.ใน จ.กาฬสินธุ์ พาลูกชายหอบหลักฐานบุกร้องศูนย์ดำรงธรรม หลังพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายลูกชายบิ๊กข้าราชการ มั่นใจถูกกลั่นแกล้ง ยันวันเกิดเหตุลูกชายอยู่ต่างจังหวัด
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายวินัย รัตนมาลี อายุ 48 ปี ผอ.รร.ดงไร่ราษฎร์พัฒนา นางจารุวรรณ รัตนมาลี อายุ 48 ปี ผอ.รร.คำม่วง สองสามีภรรยา พานายวงศกร รัตนมาลี อายุ 21 ปี ลูกชาย และเพื่อนนักศึกษา พร้อมนำเอกสารหลักฐานและหนังสือเข้ายื่นต่อ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายสุวิทย์ คำดี ผวจ.กาฬสินธุ์ เพื่อขอความเป็นธรรม หลังจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ออกหมายเรียกลูกชายให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันทำร้ายร่างกายลูกชายข้าราชการระดับสูงคนหนึ่งและเป็นหลานชายของนายตำรวจใน จ.กาฬสินธุ์ โดยระบุว่าลูกชายไม่ได้ทำร้ายร่างกายใคร และในวันเวลาเกิดเหตุก็อยู่ต่างจังหวัด แต่กลับถูกยัดเยียดข้อหาจนเป็นแพะรับบาป
นายวินัย กล่าวว่า หลังได้รับหมายเรียกตนและภรรยาตกใจอย่างมาก จึงเข้าไปพบพนักงานสอบ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ เจ้าของคดี เพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากตำรวจว่า ลูกชายของข้าราชการได้แจ้งความถูกทำร้ายร่างกาย โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 02.00 น.วันที่ 18 มี.ค. 2559 บริเวณหน้าร้านอาหารปักใต้ 5 แยกหนองแซง เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งจากคำให้การของผู้เสียหายฝ่ายเดียวระบุว่าคนที่ทำร้ายร่างกายตัดผมทรงสกินเฮด และขับรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ สีบอร์นเทา โหลดเตี้ย ถือไม้เบสบอลเข้ามาทำร้าย ตนได้สอบถามลูกชายที่กำลังศึกษาอยู่ ใน จ.มหาสารคาม ยืนยันว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกายใคร และในวันเวลาเกิดเหตุดังกล่าวกำลังกินเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนในช่วงซ้อมรับปริญญาที่หอพักเพื่อน พร้อมทั้งนำภาพถ่ายมายืนยัน อีกทั้งลูกชายไม่ได้ตัดผมสกินเฮด จึงมั่นใจว่าลูกชายไม่ได้เป็นคนทำร้ายร่างกาย
“ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือน เม.ย. 2559 ลูกชายถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ออกตามหาในสถานที่ต่าง ๆ และขู่ฆ่ามาแล้ว จึงมั่นใจว่าเหตุการณ์ทั้งสองเชื่อมโยงกัน และอาจจะเป็นการเข้าใจผิด ภรรยาจึงได้โทรศัพท์ประสานไปยังบิดาของผู้ที่ถูกทำร้าย เพราะรู้จักมักคุ้นกันดี เพื่ออธิบายว่าลูกชายไม่ได้เป็นคนทำ แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมฟัง บอกเพียงว่าเลือดต้องล้างด้วยเลือด ดังนั้นครอบครัวจึงเข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย และในวันนี้จึงตัดสินใจเดินทางเข้าขอความเป็นธรรมและปกป้องศักดิ์ศรี”นายวินัย กล่าว