หางโจว, 7 ก.พ. (ซินหัว) — ก่อนก้าวขึ้นเที่ยวบินทีอาร์ 188 (TR188) ของสายการบินสกู๊ตในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ซึ่งตรงกับวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จีน เหลากวน ผู้ประกอบอาชีพไกด์นำเที่ยว ก็รู้ว่าการเดินทางกลับบ้านครั้งนี้จะไร้ซึ่งความรื่นเริ่งในการต้อนรับเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนอย่างไม่ต้องสงสัย
กวนกล่าว “ทุกคนในกลุ่มของผมมีอาการวิตกกังวลโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันเหมือนกับว่าเราเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโชคชะตา”
จากผู้โดยสารทั้งหมด 314 คน มีผู้โดยสารมากกว่า 100 คนวางแผนเดินทางไปนครอู่ฮั่นของจีน หลายคนต้องการมุ่งตรงกลับบ้านเพื่อให้ทันเวลากับการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญที่สุดในปฏิทินจีน
อย่างไรก็ดี การปิดล้อมทั่วเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) ส่งผลให้บรรดานักเดินทางเหล่านี้ พบว่า บ้านของพวกเขาอยู่ไกลเกินเอื้อม พวกเขาจึงเลือกขึ้นเที่ยวบินทีอาร์188 และมุ่งหน้าสู่เมืองหางโจว ในมณฑลเจ้อเจียงแทน
เมื่อเครื่องลงจอด ผู้โดยสารต้องผ่านการตรวจสุขภาพ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติหางโจว ก่อนจะใช้เวลา 14 วันแรกของปีใหม่ทางจันทรคติอยู่ภายใต้การกักกัน
ความหวาดกลัว
ณ ท่าอากาศยานฯ หลี่เชี่ยน ซึ่งเป็นนามแฝงของหญิง วัย 29 ปี พบว่าตัวเธอเองมีไข้ ซึ่งจัดเป็นอาการทั่วไปของการติดเชื้อไวรัสฯ เธอจึงถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลใกล้เคียงทันที เพื่อทำการทดสอบเพิ่มเติม
เมื่อนึกย้อนไปว่า เธอเคยมีอาการท้องร่วงและอาเจียนตอนอยู่ที่สิงคโปร์ หลี่ตื่นตระหนกและเสียใจอย่างยิ่งที่เดินทางไปพร้อมแม่และลูกชายวัย 11 เดือน
“ฉันรู้สึกสิ้นหวังและเฝ้าพร่ำถามตัวเองว่า ‘ฉันติดเชื้อแล้วหรือยัง?’” ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์หลายวันต่อมาขณะอยู่ในรถพยาบาลว่า “ตอนอยู่บนรถพยาบาล ฉันใคร่ครวญถึงการตรียมรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดด้วย”
โชคดีที่อุณหภูมิร่างกายของหลี่ กลับสู่ปกติหลังเดินทางไปโรงพยาบาล 2 ครั้ง และในที่สุด เมื่อวันที่ 25 ม.ค. เวลาประมาณ 03.00 น. เธอก็ถูกส่งไปยังโรงแรมกักกันใกล้สนามบิน
หลังจากนอนไม่หลับถึง 1 คืนเต็ม หลี่แจ้งแพทย์ว่าเธอ 3 คนต้องการทดสอบอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
หลายวันต่อมา หลี่รอผลตรวจอย่างเป็นกังวล เธอไม่สามารถตอบกลับข้อความจากญาติและเพื่อนของเธอได้แม้เพียงข้อความเดียว แต่ไม่นานเธอก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้
“ในสภาพแวดล้อมใหม่นี้ ฉันเป็นคนเดียวที่แม่และลูกของฉันสามารถไว้วางใจได้ ฉันจำเป็นต้องเข้มแข็ง” หลี่กล่าว ก่อนที่จะได้ทราบข่าวดีว่าผลตรวจไวรัสฯ ของทั้งสามออกมาเป็นลบ
อย่างไรก็ดี เพื่อนร่วมเดินทางของพวกเขาบางคนกลับไม่โชคดีอย่างนั้น เนื่องจากผู้โดยสาร 7 คนบนเที่ยวบินเดียวกันกับหลี่ที่มาจากนครอู่ฮั่นติดเชื้อไวรัสฯ
ความหวัง
ย้อนกลับไปที่เหลากวน ตลอดระยะเวลากักกัน นักท่องเที่ยวจากอู่ฮั่นถูกกักแยกอย่างเข้มงวดในห้องพักโรงแรมขนาด 30 ตารางเมตร โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสวมหน้ากาก 4 คนดูแลพื้นที่โดยรอบ นอกจากนี้ ทางการได้มอบหมายให้บุคลากรทางการแพทย์หลายสิบคนตรวจสอบอาการของพวกเขา และพนักงานโรงแรมอีก 6-7 คนคอยดูแลความต้องการประจำวัน
ทุกเช้ากวนจะเปิดเพลงภาษาท้องถิ่นฝูเจี้ยนจากโทรศัพท์ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตนเอง
เนื้อเพลงขับร้องว่า “ชีวิตของมนุษย์ผู้หนึ่งเปรียบดั่งเกลียวคลื่นมหาศาลในท้องทะเล ที่มีทั้งม้วนสูงขึ้น และคลายตัวลงมา” ซึ่งกวนคิดว่ามันช่างเข้ากันได้ดีกับอารมณ์ ณ ปัจจุบันของเขา
กวนพยายามทำให้ตนเองยุ่งอยู่กับอุปกรณ์ที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียว นั่นคือโทรศัพท์มือถือ เพื่อฆ่าเวลาและหลีกเลี่ยงการจมดิ่งอยู่กับความเหงา
เขาโทรหาภรรยาเพื่อเตือนให้เธอดูแลสุขภาพให้ดีท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ทั้งยังนำเสนอเคล็ดลับสร้างความสนุกสนานแก่เพื่อนนักเดินทางในกลุ่มวีแชต และเขียน “ไดอารีกักกัน” เพื่อบอกเล่าเรื่องราวจากมุมมองที่ถูกจำกัดเอาไว้ อาทิ ภาพวาดตกแต่งบนผนัง แม่น้ำนอกหน้าต่าง และถุงเครื่องหอมที่อยู่ใกล้เตียง
บางเวลาไกด์นำเที่ยวแสนรอบรู้คนนี้ พยายามมองหาแรงบันดาลใจจากบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษย์ ผู้ซึ่งสามารถเอาชนะความทุกข์ทรมาน
กวนเขียน“ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ปัญญาของมนุษย์นี้เองที่เป็นสิ่งทรงพลังมากที่สุด”
..........
สำหรับนักเดินทางที่ถูกกักกัน แหล่งปลอบประโลมจิตใจยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดช่วงเวลาอันแสนยากลำบากของพวกเขาคือ เหล่าผู้ดูแลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา
ทุกวัน พนักงานโรงแรมจะสวมแว่นตาและชุดป้องกันเต็มรูปแบบ เพื่อจัดส่งอาหาร 3 มื้อและตอบสนองความต้องการของบรรดานักเดินทางอย่างสุดความสามารถ
อีกประมาณ 2 สัปดาห์ ลูกชายของหลี่จะมีอายุครบ 1 ปี และเธอก็ตื่นเต้นกับงานวันเกิดเป็นอย่างยิ่ง “ฉันอยากให้เขาเป็นหมอเมื่อเขาโตขึ้น” หลี่กล่าว
หลี่เขียนในโพสต์วีแชตว่า “เมื่อถึงวันที่อู่ฮั่นปราศจากไวรัสร้าย เมื่อนั้นปีใหม่จีนสุดแสนรื่นเริงก็จะมาเยือนประเทศเราอย่างแท้จริง”