“จุรินทร์” ลุยกัมพูชาเปิดงาน Top Thai Brands ขยายตลาดสินค้าไทย พร้อมหารือ 19 บริษัทไทยลงทุนในกัมพูชา สรุปประสบการณ์ พร้อมบุกตลาด กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม
เมื่อเวลา 08.30น. วันที่ 7 กพ. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และคณะ เดินทางเพื่อสานสัมพันธ์ทางการค้า รับทราบปัญหาอุปสรรคการดำเนินธุรกิจของไทยในกัมพูชา และเปิดงาน TOP Thai Brands ซึ่งจัดต่อเนื่องมาแล้วกว่า 10 ปี โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-9 ก.พ. 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าเกาะเพชร ประเทศกัมพูชา คาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมงานกว่า 100,000 คน สร้างรายได้กว่า 350 ล้านบาท ไม่ต่ำกว่าปีก่อนหน้านี้
รายงานข่าวจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แจ้งว่า วัตถุประสงค์หลักของงาน คือ การส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการในภูมิภาคต่างๆของประเทศ ให้มีช่องทางในการขยายการส่งออกและการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ เสริมสร้างภาพลักษณ์ และสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าด้วยแบรนด์ ภายในงานประกอบด้วยการเจรจาธุรกิจเพื่อหาตัวแทนจำหน่าย และการขายปลีกเพื่อให้ได้รับทราบถึงแนวโน้มความต้องการของตลาด และตามนโยบายขยายตลาดของนายจุรินทร์ ครั้งนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 185 บริษัท 290 คูหา โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการจากประเทศไทย 112 บริษัท 122 คูหา และมีผู้ประกอบการจากต่างจังหวัดเข้าร่วม 50 ราย และกระทรวงพาณิชย์ ได้จัดสรรพื้นที่เป็นกรณีพิเศษให้แก่ผู้ประกอบการจากชายแดนไทย-กัมพูชาจำนวน 6 คูหา ได้แก่ อุบลราชธานี(เครื่องสำอาง) ศรีษะเกษ(ผลิตภัณฑ์เห็ดแปรรูป) สุรินทร์(ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร) สระแก้ว(เครื่องสำอาง) จันทบุรี(ผลไม้แปรรูป) และตราด(น้ำมันเหลือง) เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการตามภูมิภาคให้เติบโต
สำหรับปี 2562 ที่ผ่านมานั้นมีมูลค่าการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา สูงถึง 282,480 ล้านบาท โดยในนั้นประเทศไทยส่งออกมูลค่า 214,320 ล้านบาท และหวังว่ามูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองประเทศจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2563 อีก ทั้งนายจุรินทร์ ยังมีความประสงค์จะขอบคุณฝ่ายกัมพูชาที่ให้ความร่วมมือกับไทยเป็นอย่างดีมาโดยตลอดในทุกมิติ นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังจะร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม MOU หรือข้อตกลงระหว่าง ผู้ประกอบการไทยและกัมพูชา จำนวน 3 ฉบับ มูลค่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (210 ล้านบาท) หากรวมกับยอดของงาน Top Thai Brand คาดว่ามูลค่ารายได้เข้าประเทศ อยู่ที่ประมาณ 570 ล้านบาทในทริปนี้
ต่อมาเวลา 12.30 น. นายจุรินทร์ พร้อมคณะ ได้รับทราบปัญหาอุปสรรคการดำเนินธุรกิจของไทยในกัมพูชา โดยประชุมหารือกับภาคเอกชนที่มาลงทุนและทำการค้าอยู่ในกัมพูชาหลายบริษัททั้งหมด 19 บริษัท ซึ่งมีทั้งบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทขนาดกลางที่มาทำธุรกิจที่นี่ โดยใช้เวลาแลกเปลี่ยนความเห็นกันเพื่อรับทราบปัญหาและสถานการณ์การค้าการลงทุนกัมพูชา
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้รับทราบว่าการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชามีตัวเลขที่มีการเจริญเติบโตและขยายตัวมากขึ้นเป็นลำดับสถานภาพก็คือว่าประเทศไทยได้ดุลการค้ากับกัมพูชาอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร ส่วนประเด็นปัญหาที่ฟังจากภาคเอกชน ประการหนึ่งก็คือ เรื่องของการค้าพบว่าสินค้าของไทยที่มาส่งขายที่นี่จะมีสินค้าที่ปลอมแปลงเกิดขึ้นทั้งในส่วนของการปลอมแปลงตัวสินค้าและเครื่องหมายการค้าหรือทรัพย์สินทางปัญญา ถือเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่หยิบยกขึ้นมา ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ได้แนะนำว่าผู้ที่เสียหายโดยเฉพาะผู้ที่มาลงทุนที่นี่ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์นี้ผ่านเลยไปควรดำเนินการแจ้งให้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาของกัมพูชาได้รับทราบและสำเนาเรื่องให้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาของกระทรวงพาณิชย์รับทราบ และช่วยประสานงานและร่วมกันในการคลี่คลายปัญหานี้ต่อไป
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องก็คือตลาดกัมพูชาถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีความสำคัญกับประเทศไทยมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียนเพราะว่ามูลค่าการค้าระหว่างไทยกัมพูชาอยู่ลำดับที่ 5-6 เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียน และนโยบายที่ตนคิดว่าเป็นนโยบายที่เราจะเดินหน้าต่อไปให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นสำหรับเอสเอ็มอี ของประเทศไทยเราจะพามาบุกตลาด CLMV ให้มากขึ้นและถือว่าเป็นตลาดเป้าหมายหลักนั่นคือ กัมพูชา เวียดนาม ลาว และเมียนมา โดยกัมพูชาเป็นเป้าหมายหลักอันหนึ่ง โดยได้มีการหาหรือร่วมกันว่าสำหรับสินค้าเอสเอ็มอี ของไทยที่ภาคเอกชนที่มีความแข็งแรงอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสช่วยเปิดทางให้กับเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ได้เข้ามาก็จะมีส่วนช่วยมาก
"ถือเป็นข่าวดีได้รับทราบว่ากลุ่ม ปตท. มีนโยบายที่จะเปิดมุมไทยขึ้นในร้านจิ๊ฟฟี่ของปตท.ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศกัมพูชา 50 สาขา โดยมุมไทยที่ว่านี้จะเป็นมุมหนึ่งที่จะขายปลีกสินค้าเอสเอ็มอี ของไทยโดยเฉพาะในร้านจิ๊ฟฟี่ของ ปตท. ที่กัมพูชาและช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าไทยให้ด้วยไปในตัว รวมทั้งในส่วนของห้างแม็คโคร ช่วงระยะเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ผลไม้ไทยเริ่มออกและอยากเห็น ปตท.กับแม็คโครและส่วนอื่นๆได้เป็นช่องทางระบายผลไม้ไทยเพิ่มขึ้นด้วยซึ่งทางทูตพาณิชย์ไทยที่นี่เป็นผู้ประสานงานต่อไป ในการที่จะส่งผลไม้ไทยเข้ามาที่นี่หรืออาจจะต้องมาจัดเทศกาลผลไม้เพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะเสนอเพิ่มเติมต่อไป" นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการมาโดยลำดับ เช่นที่ตนเดินทางมาครั้งนี้เป็นการนำ SME ไทยอย่างน้อย 50 บริษัทและนำสินค้าไทยจากบริษัทต่างๆมาอีกรวมเกือบ 200 บูธเฉพาะสินค้าไทยเป็นนโยบายว่าต่อไปนี้การไปเปิดตลาดหรือจัดการแสดงสินค้าในกลุ่มตลาด CLMV ขอให้เอสเอ็มอีได้มีโอกาสเข้ามามากขึ้นและผู้ประกอบการท้องถิ่นรวมทั้งบูธของกัมพูชา 100 กว่าบูธ งาน Top Thai Brand ที่พนมเปญ มีประมาณ 300 บูธ นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการมาโดยต่อเนื่องและจะขยายวงมากยิ่งขึ้นมีส่วนช่วยให้เอสเอ็มอี ไทยได้มาเปิดตลาดที่นี่ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นและจะเชิญผู้นำเข้าจากกัมพูชาไปในงานแสดงสินค้าของไทยในวาระต่างๆอย่างน้อยปีละ 4 งาน ที่เราจัดอยู่และเปิดบูธพิเศษให้กับนักลงทุนหรือผู้นำเข้าชาวกัมพูชาได้รับสิทธิพิเศษ 10 บูธช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้นำเข้าของกัมพูชาได้เดินทางเข้าไปซื้อสินค้าในไทยและแลกเปลี่ยนเปิดโอกาสให้เรากัมพูชาได้แสดงสินค้าเป็นการแลกเปลี่ยน
นายจุรนิทร์ ระบุว่า ได้ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปหาลู่ทางในการที่จะขยายข้อมูลที่รับทราบในเรื่องของรสนิยมด้านอาหารของคนกัมพูชาว่าคนกัมพูชา ชอบรสชาติแบบไหนเมื่อสักครู่แลกเปลี่ยนแล้วชอบอาหารออกไปทางรสหวานเป็นเรื่องที่ผู้ส่งออกเอสเอ็มอี ที่มาร่วมงานแสดงสินค้าของไทยจะได้พอทราบว่ารสนิยมของคนที่นี่เป็นอย่างไร จะได้เตรียมผลิตภัณฑ์ได้ถูกและอาจจัดอบรมผู้สนใจที่จะเปิดตลาดด้านอาหารในกัมพูชาจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในง่ายขึ้นและขายของได้มากขึ้นด้วย