“กัปตันมนูญ”เล่าภารกิจ 18 ชม.บินไปรับ 138 คนไทยกลับจากอูฮั่น หนีจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซูฮกทีมหมอ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Manoon Jarornloy หรือ กัปตันมนูญ เจริญลอย ซึ่งเป็นกัปตันแอร์เอเชีย ได้โพสต์ภารกิจในการบินไปรับคนไทยจากอู่ฮั่น ว่า ผมไม่ใช่ฮีโร่หลายคนที่รู้จักผมตอนเช้าของวันที่ 4 คงรู้แล้วว่า ผมเป็นคนบินไปรับคนไทยในอู่ฮั่น เพราะสื่อต่าง ๆ ออกข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก และเผอิญมีภาพบางภาพในข่าว มีติดรูปผมไปด้วยทั้งที่ตามแผนของคณะทำงาน ที่มีกระทรวงต่างประเทศ เป็นแม่งาน ไม่ได้เป็นอย่างนั้ย สั้น เงียบ ใช้คนน้อยสุด คือสิ่งที่ตกลงกันไว้ แต่อย่างว่า บางอย่างก็เหนือการควบคุมตอนไวรัสโคโรนาเริ่มระบาดทางด่านควบคุมโรคดอนเมืองได้ทำงานร่วมกับสายการบิน ในการตรวจคนที่มาจากอู่ฮั่นอย่างต่อเนื่องก่อนที่ข่าวจะดังเสียอีก
สายการบินเราจากปกติที่ทำการฆ่าเชื้อตามวงรอบก็มาทำถี่ขึ้น และกลายทำทุกเที่ยวบินทันที ที่กลับจากอู่ฮั่นก่อนนำไปใช้ต่อ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องเราสะอาดแน่ๆ สำหรับผู้โดยสารทุกคน การตรวจผู้โดยสารมีเฉพาะขาเข้า แต่เราคิดว่า ไม่พอ และเป็นปัญหาที่ปลายทาง ถ้ามีคนที่มีไข้ แม้ไม่ได้เป็นไข้หวัดอู่ฮั่นก็ตาม รวมทั้งเราต้องการความมั่นใจว่าผู้โดยสารคนอื่น รวมทั้งน้อง ๆพนักงานของเรา จะปลอดภัยในการโดยสารกับเราทีมงาน Exit Screen จึงเกิดขึ้น อย่างฉุกละหุก ด้วยความร่วมมือของน้องๆนักบินที่เป็นหมอ น้องๆลูกเรือที่เป็นพยาบาลโดยหัวหน้าลูกเรือคนสวยและทีมในแผนกเป็นกำลังหลัก security GS รวมทั้ง Safetyด้วย
หมอป๊อกกับทีมแพทย์สี่คนที่เป็นนักบินของเรา ทั้งเป็นกำลังหลักในการตรวจและทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ให้น้อง ๆในทีม ก็ไม่สามารถมาได้ทุกวัน เพราะเราต้องทำระยะยาว ผมเลยเรียนปรึกษา CEO เพื่อที่จะจ้างพยาบาลมาช่วย ระหว่างนั่งทำงานรอครูม้ง ซึ่งเป็น HFO ของเราเดินมาหา บอกว่า CEO เรียกพบ พี่ต๊อกบอกว่า เราอาจต้องทำเที่ยวบินรับคนไทยจากอู่ฮั่นมึงว่าไง ม้งพูดกับผมระหว่างเดินไปห้องทำงาน CEO กูกำลังคิดเรื่องนี้พอดี ว่าทำไมรัฐบาลไม่เอาคนออกมาไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวกูบินเองผมบอกกะม้ง งั้นมึงกะกูบินด้วยกัน จะได้ตัดปัญหา ไม่ต้องเอาคนอื่นไปเสี่ยง ม้งบอกผมก่อนเข้าห้อง CEO
พี่รบขอความร่วมมือมาให้เรารับคนไทยจากอู่ฮั่นพี่ว่าไง พี่ต๊อกเอ่ยขึ้น พร้อมครับม้งตอบ เดี๋ยวผมสองคนบินเอง น้องลูกเรือก็ไม่น่ามีปัญหา งั้นผมตอบตกลงเขาไปนะ น่าจะประมาณวันที่ 1-2 เราพร้อมนะ พร้อมครับ เราตอบพร้อมกันวันรุ่งขึ้นม้ง ผม และหัวหน้าลูกเรือ โดนเรียกให้ไปประชุมด่วนกับคณะทำงานของรัฐบาลที่มีทั้งทีมแพทย์ ท่าฯ ตม.ทหาร ที่กรมการกงสุล เราแบ่งหน้าที่กันทำตามความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายส่วนวันเวลานั้น รอคอนเฟิร์มจากจีน ขอให้เป็นความลับนะท่านอธิบดีบอก ก่อนเลิกประชุมผมเหลือบไปเห็นไลน์เด้งขึ้นมา เลยตอบไปว่าไม่ลับแล้วล่ะครับมีการแถลงแล้วว่า ไปวันที่ 1 ทุกคนในห้องถอนหายใจดังเฮ้อ คนจะไปยังไม่รู้เลย ว่าจะไปวันไหนผมคิดในใจ
กลับจากประชุมผมไปงานเลี้ยง ชนอ.ม้งต้องไปร่วมวางแผนกับแผนกอื่นๆ และรายงานการประชุม ให้พี่ต๊อกฟัง เลยถูกพี่ต๊อกขอให้เปลี่ยนคนบิน จากเดิม ผม ม้ง และปุ้ม หัวหน้าลูกเรือ เพราะแกบอกว่า ถ้าพวกพี่โดนกัก จะทำไงเพราะสามคนไปด้วยกัน ใครจะทำงาน เพราะทั้ง ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ ไปกันหมด ซึ่งเรื่องนี้ ผมคุยกะม้งแล้วว่ามันไม่ควรไป แต่ผมไปได้ เพราะงานผม อยู่ไหนก็ทำได้ ส่วนม้ง ต้องร่วมประชุมเรื่องสำคัญบ่อยๆ สรุปคือ ม้งคอยติดต่อกับกงสุล ทีมคุณหมอ แผนกต่างๆภายในแอร์เอเชีย คือเป็นผู้อำนวยการศูนย์นั่นเอง
เมื่อข่าวมันออกไป ว่าแน่นอน แอร์เอเชียเป็นคนไปรับคนไทย นักบินในกลุ่มไลน์ต่างเสนอตัว ที่จะไปทำหน้าที่นี้ จริงๆเขาคุยกันก่อนหน้านั้นแล้วล่ะ ว่าถ้ารัฐบาลให้เราทำ หลายคนเสนอตัวที่จะทำ โดยไม่รับเงินค่าบิน บางคนหลังไมค์มาก็มี ผมก็ตอบทีเล่นทีจริง…ว่าให้ลงชื่อไว้ เราทำจริงๆ ผมจะได้ไม่ต้องหาให้ยาก ปรากฏว่ามีคนสมัคร ทั้งหน้าไมค์หลังไมล์แป๊บเดียวเกือบ 20 คู่ ผมเลยต้องบอกว่า ผมพูดเล่น ยังไม่ความคืบหน้าว่าเราจะทำมั้ย ฃ
วันอาทิตย์ที่ 2 เราโดนเรียกเข้าประชุมวางแผนละเอียดอีกครั้งหลังได้รับไฟเขียวจากจีน ว่าคือวันที่ 4 การนัดหมายโหลดของการเดินทาง สถานที่รับตัวคนไทย ถูกสรุปในวันนั้นและทุกอย่างถูกกำชับให้เป็นความลับ แต่มีคนเงยหน้ามาบอกว่าทุกคนรู้แล้ว ว่าเราจะไปลงอู่ตะเภาข่าวลงแล้ว
วันจันทร์ที่ 3 ทางทีมแอร์เอเชียถูกนัดหมายให้ไปซ้อม การใส่ขุดป้องกัน(PPE) เพราะหมอบอกว่า การใส่น่ะง่าย แต่การถอดอาจทำให้ติดเชื้อได้ การซ้อมรอบเช้ายังไม่สมบูรณ์ เพราะขั้นตอนการคัดกรองผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย สี่ชั่วโมง ต้องให้ลูกเรือช่วย เราจึงต้องบรีฟกันอย่างละเอียด และเราต้องเข้าพบนายกฯในตอนบ่าย ก่อนที่น้องๆจะกลับไปซ้อมอีกรอบ ส่วนผมกับอั๋นแยกตัวกลับ เมื่อเรากลับมาถึงสถาบันบำราศนาดูร
เช้าวันที่ 4วันออกเดินทาง ซึ่งคือเวลา 07.10 น.ผมนัดลูกเรือ ทีมแพทย์7 คน และเจ้าหน้าที่ กต. 2 คน บรีฟขั้นตอนสุดท้าย ตอน 05.10 น. ใครจะรับผิดชอบอะไรตอนไหน และ chain of command ใน cabin เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปในขากลับ เมื่อประตูเปิดที่อู่ฮั่น ขอให้ลูกเรือ เชื่อฟังคุณหมอ ซึ่งนำโดย ผอ.สถาบันบำราศนราดูร เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อประตูปิดแล้ว การสั่งการเป็นหน้าที่ของหัวหน้าลูกเรือนะครับ จนกว่า sign off คุณหมอถึงกลับมานำอีกครั้งเกิดมีผู้ป่วยฉุกเฉินบนเครื่อง หมอเป็นคนสั่งการ แต่ถ้าเกิดEmergency ให้ลูกเรือเป็นคนสั่งการทั้งหมดผมบรีฟคร่าว ก่อนขึ้นเครื่อง รมว.สาธารณสุขมาส่งที่เครื่อง มีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
เรา Landing ที่อู่ฮั่นตอน 11.15 น.เวลาอู่ฮั่น เรารีบกินข้าวและทำธุระส่วนตัว ก่อนที่จะบอร์ดผู้โดยสารเพราะหมอบอกหลังจากนั้นเราจะไม่สะดวกอีก เราใช้เวลาคัดกรองและบอร์ดเกือบ 6 ชม. ซึ่งยาวนานมาก ผมกะอั๋นและ Engineer เก็บตัวในห้องนักบิน น้องๆลูกเรือ ช่วยหมอในการจัดที่นั่งผู้โดยสารและออกที่นั่งให้
ทำไมต้องทำขนาดนั้น 1.เราต้องมั่นใจว่า คนที่อาจมีอาการ หรือติดเชื้อ ต้องถูกแยกไปนั่งต่างหาก และใช้ห้องน้ำที่แยกไว้ให้ 2.คนที่มีแข็งแรงแต่อยู่พื้นที่เสี่ยง ต้องนั่งอีกโซน 3.กลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มเสี่ยงน้อย จะจัดนั่งข้างหน้า ผมงีบรอในห้องนักบินครับ แต่ตื่นขึ้นมาทีไร ผมก็ยังเห็นน้องๆ ทั้งหมอ และลูกเรือ ทำงานด้วยความร่าเริงตลอดเวลา มีการเอนเตอร์เทน ผู้โดยสารตลอดเวลา คุณคิดดูว่าในมุมของผู้โดยสารคนแรก ต้องรอคนสุดท้ายเกือบ 6 ชั่วโมง มันน่าเบื่อขนาดไหน การบอร์ดอันยาวนานสิ้นสุดลง เราเริ่มขออนุญาตถอย และทำการวิ่งขึ้นสนามบินที่เคยคับคั่งไปด้วยเครื่องบินจากนานาประเทศ ตอนนี้เป็นของเราคนเดียว
ขอพูดถึงทีมแพทย์ชุดนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) รวมถึงน้องๆลูกเรือของเรา ต้องขอบอก พวกเขาสุดยอด ทั้งความรู้ การเตรียมการ การทำตามแผนและนอกแผน หลังจากการตรวจอันยาวนาน ตอนแรกเราจะให้ผู้โดยสารแค่น้ำ 2 ขวด แซนวิช เจลล้างมือ ซึ่งจะวางไว้ที่ที่นั่ง ก่อนจะบอร์ดผู้โดยสารเพื่อบดขั้นตอนการบริการ ในแผนจะไม่มีการบริการอาหารร้อน แต่ด้วยเวลาที่ทอดยาวออกไปผู้โดยสารมารอแต่เช้า และไม่มีอะไรขายที่สนามบิน อาหารที่เราโหลดมาเพื่อใช้ในกรณีไดเวิร์ดถูกนำมาใช้จนเกลี้ยง โชคดีจริงๆ ที่เราคิดถึงกรณีนี้ไว้ ตามข้อเสนอของปุ้ม หัวหน้าลูกเรือ เพราะถ้าเราไปลงสนามบินกลางทาง ในกรณีฉุกเฉิน ไม่มีใครให้เราลงจากเครื่องแน่ เราควรมีน้ำ และอาหารสำรอง ก่อนเครื่อง Rescue จะมารับ จากแผนไม่เสิร์ฟระหว่างเที่ยวบิน ต้องมาทำ Fulservice น้องๆลูกเรือ ต้องอุ่นอาหารแบบด่วน ทายสิครับ ใครจะเป็นคนเสิร์ฟ ทีมหมอ และพยาบาลสิครับ แม้แต่ ผอ.สถาบันบำราศนาดูร ก็ได้ทดลองอาชีพสจ๊วตครั้งแรก คุณหมอ พยาบาล ที่ข้างล่าง คนเรียกอาจารย์ วันนี้ต่างทำหน้าที่บริการอาหารอย่างแข็งขัน เรามีหมอจิตเวช และเจ้าหน้าที่ กต. ไปด้วย ทุกคนช่วยกันเอนเตอร์เทนผู้โดยสารตลอดเวลาเพื่อลดความเครียด ที่รอกลับบ้านเป็นเวลานาน ทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างสุดยอดจริงๆเราลงที่อู่ตะเภาและตามคาด มีคนมากมายมารอทำข่าว และคุณหมอก็ได้ทำหน้าที่สุดท้ายของตนเองบนเครื่องบิน คือ ทำความสะอาดเครื่องบิน เก็บขยะลงถุงปลอดเชื้อ พ่นสเปร์ยฆ่าเชื้อ ก่อนทีมฆ่าเชื้อของฝ่ายช่างแอร์เอเชียจะมาทำซ้ำอีกรอบผมไม่รู้ว่า เมื่อคืนนี้ผู้โดยสาร ผมได้นอนเมื่อไหร่ ทีมหมอและ กต. ได้กินข้าวมั้ย เพราะผมแอบนำทีมลูกเรือหลบมาก่อน ผมยอมรับในหัวใจของคุณหมอ และ กต. ชุดนี้จริงๆ ทำงานหนักตลอดวัน อย่างมีพลังและร่าเริงตลอดเวลา ลูกเรือผมก็เช่นกัน ถ้าจะมีใครถูกเรียกว่าฮีโร่ นั่นคือพวกเขาครับ ขอซูฮกทีมคุณหมอ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ทั้งสองคนด้วยใจจริง จบการทำงาน 18 ชั่วโมงอันยาวนานครับ
ขอบคุณเฟซบุ๊ก Manoon Jarornloy