มีข้อแนะนำมากมายถึงรัฐบาล ทั้งโดยตรงในวงเสวนา และโดยอ้อมผ่านโลกโซเชี่ยล ไทยควรห้ามนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศเป็นชั่วคราวหรือไม่
หลังโคโรนาไวรัส สายพันธุ์อู๋ฮั่น แพร่ระบาดอย่างรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน ซึ่งขณะนี้ ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะที่เมืองอู๋ฮั่นอีกแล้ว
หลายคนเห็นว่าไม่ควรคำนึงถึงเรื่องรายได้เข้าประเทศจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างเดียว ในการพิจารณามาตรการรับมือการแพร่ระบาด เพราะไวรัสสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ ได้พัฒนากลายพันธุ์ถึงขั้น ติดต่อจากคนสู่คนได้ แม้ในระยะฟักตัว และยังไม่แสดงอาการไข้ให้เห็นอีกต่างหาก
นั่นอาจจะมีผลถึงผลการคัดกรองเบื้องต้นที่สนามบินทุกแห่งที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยก่อนหน่าช่วงตรุษจีน เพราะอาจยังไม่แสดงอาการก็เป็นได้
ดร.ปรเมษฐ์ บุญนำศิริกิจ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการท่องเที่ยว ม.รามคำแหง แสดงความไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ โดยให้เหตุผลว่า หากพวกเขา(นทท.จีน) ไม่มีความผิดอะไร การจะไปกีดกันถึงขั้นไม่ยอมให้เข้าไทย คงเป็นเรื่องละเมิดสิทธิ์เกินไป เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ความรุนแรงตามมามากมายก็อาจทำได้ แต่ถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะร้ายแรงแค่ไหน หรือถ้าหากจะต้องห้ามจริง ก็ไม่แน่ว่าจะสะกัดกั้นไม่ให้แพร่ขยายเข้าไทยได้จริงหรือไม่ ในทางกลับกัน หากถูกรังแก หรือถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ ต่อไปนักท่องเที่ยวจีนคงไม่กลับมาอีก
ดังนั้น จึงควรสร้างความประทับใจ ด้วยการให้ความรู้ ให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตนที่ถูกวิธี ขอความร่วมมือจากมัคคุเทศน์ช่วยสอดส่องและตรวจคัดกรองอีกชั้นหนึ่งก่อนออกจากที่พัก หรือเมื่อกลับถึงที่พักแล้ว เพราะอุปกรณ์อย่างเทอโมมิเตอร์วัดอุณหภูมิก็ใช้ได้แล้ว
ดร.ปรเมษฐ์ เห็นด้วยกับการยกระดับความเข้มข้นเป็นระดับ 3 ดังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านทีวีพูลเมื่อวันก่อน และจุดคัดกรองแรกที่สนามบินทุกแห่งซึ่งมีอยู่แล้ว ยังต้องทำต่อไป ส่วนการตรวจคัดกรองซ้ำ จะสามารถรีเช็กผู้ป่วยที่อาจยังไม่แสดงอาการเมื่อผ่านจุดตรวจที่สนามบินได้
"ทั้งการคัดกรองและการติดตามใกล้ชิด ถือเป็นเรื่องจำเป็น รวมทั้งต้องตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ และสายการบินที่มาจากประเทศอื่น ไม่เฉพาะจากจีนหรือเมืองอู๋ฮั่นเท่านั้น เพราะนักท่องเที่ยวจากจีน อาจบินไปประเทศอื่น แล้วค่อยต่อเครื่องบินมาไทยก็เป็นได้" นักวิชาการด้านท่องเที่ยว จาก ม.รามคำแหงกล่าว
นอกจากนี้ ยังเห็นควรให้รัฐบาลตั้งจุดแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้นักท่องเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า หรือจุดท่องเที่ยวที่มีคนเป็นจำนวนมาก เพราะคนมาจากต่างบ้านต่างเมือง อาจไม่รู้ว่จะหาซื้อหน้ากากอนามัยได้จากที่ไหน
ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจและรายได้เข้าประเทศ อาจจะมีบ้าง แต่คงไม่ถึง 1% ของจีดีพี อย่างที่กูรูบางคนคาดการณ์ไว้ และเมื่อดูจากความรุนแรงที่หลายประเทศควบคุมสถานการณ์ได้ รวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่า ผลเสียหายจะน้อยกว่าไวรัสโรคซาร์ส และเมอร์ส ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
นึ่จึงเป็นข่าวดีเล็กๆท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้คน สำหรับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังแสดงอิทธิฤทธิ์อยู่ในเวลานี้