คงไม่หยุดเพียงตัวเลขคนติดเชื้อ 2,000 คน และยอดคนเสียชีวิต 56 คนเท่านั้น สำหรับไวรัสโคโรนา ต้นเหตุโรคปอดอักเสบ ที่ค้นพบและแพร่กระจายจากเมืองอู๋ฮั่น มณฑลเหอเป่ย ประเทศจีน
เพราะดูจากอัตราการขยายตัว เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และถึงขณะนี้ พบผู้ติดเชื้อในประเทศต่างๆแล้วอย่างน้อย 13 ประทศ ยังไม่นับรวมแคนาดา สก๊อตแลนด์ และซาอุดิอาระเบีย
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แม้จะยังเห็นไม่ตรงกัน เรื่องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เตือนว่า เข้าขั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดวิกฤตการระบาดทั่วโลก
ประเทศจีนภายใต้การสั่งการของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ประกาศภาวะฉุกเฉินสูงสุดทั่วประเทศ ยกเว้น ทิเบต และสั่งด่วนห้ามคนจีนเที่ยวทั่วโลก เพื่อสกัดไวรัสสายพันธุ์อันตรายตัวใหม่
ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า คำสั่งนี้จะมีผลกระทบทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ในฐานะเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่คนจีนชอบมาท่องเที่ยว คาดว่าช่วง 2 ดือนนี้ จะมียอดนักท่องเที่ยวจีนลดลง 1.2-1.3 ล้านคน และรายได้จากนักท่องเที่ยวจะหายไปประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
เป็นผีซ้ำด้ำพลอยต่อเนื่องจากยอดส่งออกของไทยที่มีปัญหา ทั้งออร์เดอร์ลดลง ปริมาณน้อยลง เงินบาทแข็งค่า และส่งผลให้เงินรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกลดลงต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้
สำหรับประเทศไทย มีมาตรการเฝ้าระวังและคุมเข้มมาตั้งแต่แรก ตั้งมั่นบนความไม่ประมาท ซึ่งถือเป็นความโดดเด่นที่ชาวโลกให้การยอมรับ หลังจากไทยกำหราบได้อยู่หมัด ทั้งซาร์ส เมอร์ส และไข้หวัดนก
นับถึงวันที่ 27 มกราคม 2563 ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้ว 8 ราย เกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาจากเมืองอู๋ฮั่น รักษาจนหายแล้ว 5 ราย แต่ก็ยังเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เชื่อว่า จะขยายรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ออกเดินทางก่อนจะมีการปิดเมืองอู๋ฮั่น โดยระยะเวลาฟักตัวของเชื้อไวรัสตัวนี้ประมาณ 7-14 วัน
สิ่งที่เป็นปัญหาของไทยขณะนี้ คือยังไม่มีมาตรการที่เข้มข้นถึงขั้นประกาศห้ามนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้าประเทศ เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้น นักท่องเที่ยวจากจีน สร้างรายได้เข้าประเทศไทยสูงถึง 5.4 แสนล้านบาทในปี 2562 จากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 1.9 ล้านล้านบาท หรือเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้จากนักท่องที่ยวทั้งหมด เพิ่มขึ้น 4.7% จากจำนวนเกือบ 11 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 4.3%
การยังไม่ใช้มาตรเข้มข้นถึงขั้นปิดกั้นนักท่องเที่ยวจากจีน หากปัจจัยการคัดกรองผู้คนที่ ตม. และการส่งตัวผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ หรือรวมทั้งการรักษาเยียวยาผู้ติดเชื้อ ยังเต็มกำลังและเปี่ยมประสิทธิภาพเช่นที่มา ก็อาจไม่เป็นปัญหาอะไร แต่หากการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างรุนแรง หรือมีจำนวนผู้ติดเชื้อเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่าที่คาดคิด ก็อาจส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นเช่นกัน
นี่จึงเป็นด่านทดสอบครั้งสำคัญที่ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง พึงต้องตระหนักและหาทางรับมืออย่างหวังผลได้ในทางปฏิบัติจริงๆ
เพราะไวรัสโคโรนา อาจจะเป็นมหันตภัยที่ทั้งโลกสะพรึงกลัวก็เป็นได้
