“แม่มณี” พร้อมพวกให้การปฏิเสธฉ้อโกงประชาชน

2020-01-27 10:55:57

“แม่มณี” พร้อมพวกให้การปฏิเสธฉ้อโกงประชาชน

Advertisement

“แม่มณี” พร้อมพวก 9 คน จำเลยคดีแชร์แม่มณีให้การปฏิเสธร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ศาลนัดตรวจหลักฐาน 9 มี.ค.63

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 27 ม.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นางสาว วันทนีย์ หรือ “เดียร์” ทิพย์ประเวช จำเลยในคดีแชร์แม่มณี จากทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และ นายเมธี ชิณภา หรือ “บอส จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มายังศาลอาญา หลังศาลนัดสอบคำให้การจำเลย คดีแชร์แม่มณี หมายเลขดำ อ.167/63 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.วันทนีย์ หรือเดียร์ ทิพย์ประเวช อายุ30 ปี ชาวจ.อุดรธานี เจ้าของวงแชร์ “แม่มณี”, นายเมธี หรือบอส ชิณภา อายุ 20 ปี ชาวจ.อุดรธานี แฟนหนุ่มของน.ส.วันทนีย์ , นายปิยะ หรือเป้ คีรีสุวรรณกุล อายุ 22ปี ชาวจ.อุดรธานี , น.ส.พรสวรรค์ หรือฝ้าย ภูอินอ้อย อายุ20 ปีชาวจ.อุดรธานี , น.ส.ธวัลรัตน์ ทิพย์ประเวช อายุ 58 ปี ชาวจ.อุดรธานี มารดา น.ส.วันทนีย์ , น.ส.วิไลวรรณ หรือมิ้น หงษ์ประชาทรัพย์ อายุ 26 ปี ชาวจ.อุดรธานี น.ส.นิตยา หรือโบว์ พินนอก อายุ 28 ปี ชาวจ.ชัยภูม , นายบริภัทร เข็มรัตน์ อายุ 23 ปี ชาวจ.อุดรธานี และนายปิยะเศรษฐ์ ธิโสภา อายุ 24 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,91,341 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527มาตรา3,4,5 11/1,12 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงพ.ศ.2527,พ.ศ.2534มาตรา345 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง(ฉบับที่2)พ.ศ.2545 มาตรา 3,4,5 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 มาตรา14 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา8

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 มี.ค. - 30 ต.ค. 2562 จำเลยที่ 1, 4 ได้โพสต์เฟซบุ๊กประกาศให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมออมเงินหรือร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1, 4 กับพวก โดยจะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษ ซึ่งมีแผนการตลาดหรือรูปแบบการลงทุนจัดแบ่งออกเป็นวงแชร์จำนวนการลงทุนวงละ 1,000 บาท จะได้รับผลตอบแทน 930 บาท ต่อหนึ่งวง เมื่อครบกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ลงทุนหรือวันที่ฝากเงินมายังบัญชีที่พวกจำเลยแจ้ง โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินที่ลงทุนพร้อมผลตอบแทนกลับไปจำนวนวงแชร์ละ 1,930 บาท 

ต่อจำเลยที่ 1, 4 กับพวก ได้เปลี่ยนเป็นการลงทุนระยะสั้นดังนี้ โดยลงทุน 400 บาท ได้รับผลตอบแทน 100 บาท เมื่อครบกำหนด 7 วัน โดยจะได้รับคืนเป็นเงิน 500 บาท, ลงทุน 400 บาท ได้รับผลตอบแทน 150 บาท เมื่อครบกำหนด 12 วัน จะได้รับคืนเป็นเงิน 500 บาท, ลงทุน 150 บาท ได้รับผลตอบแทน 150 บาท เมื่อครบกำหนด 12 วัน จะได้รับคืนเป็นเงิน300 บาท, ลงทุน 150 บาท ได้รับผลตอบแทน 150 บาท เมื่อครบกำหนด 13 วันจะได้รับคืนเป็นเงิน 300 บาท โดยข้อความดังกล่าวล้วนเป็นความเท็จ เพราะความจริงแล้วจำเลยที่ 1, 4 กับพวก ไม่ได้จัดให้มีการออมเงินหรือร่วมลงทุนโดยได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติดังกล่าวแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นอุบายให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวงเท่านั้น โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายรวม 2,533 ราย 

ภายหลังจำเลยที่ 1, 4 ได้ร่วมกันกระทำความผิดแล้ว จำเลยทั้ง9คนได้บังอาจร่วมกันฉ้อโกงหลอกลวงประชาชนทั่วไป ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงฯ และร่วมกันหลอกลวงประชาชนโดยโฆษณาหรือประกาศฯ ให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมออมเงินหรือร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งหมด จะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษดังกล่าว โดยแผนการตลาดหรือการลงทุนแต่ละแผนนั้น จำเลยทั้งหมดจะจ่ายหรืออาจจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ ตามพฤติการณ์แห่งการกู้ยืมเงินแก่ผู้ร่วมลงทุนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ โดยได้ผลประโยชน์ตอบแทนตั้งแต่อัตราร้อยละ 1,116 – 3,040.45 ต่อปี อันเป็นความเท็จ และเป็นการประกาศให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุน ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินตามกฎหมาย โดยจำเลยทั้งหมดจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ให้กู้ยืมหรือผู้ร่วมลงทุนในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายจะพึงจ่ายได้ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.80 ต่อปีเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วพวกจำเลยทั้งไม่สามารถจ่ายผลประโยชน์ในอัตราดังกล่าวให้แก่ผู้ลงทุนได้ โดยพวกจำเลยทั้งรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าจะนำเงินที่ได้จากผู้ให้กู้ยืมหรือผู้ร่วมลงทุนรายนั้นหรือรายอื่นมาจ่ายเป็นผลประโยชน์หมุนเวียนให้แก่ผู้ให้กู้ยืมหรือผู้ร่วมลงทุนรายก่อน เมื่อไม่มีผู้ให้กู้ยืมหรือผู้ร่วมลงทุนเพิ่ม ผู้ให้กู้ยืมหรือผู้ร่วมลงทุนก็ไม่สามารถได้รับผลตอบแทนและเงินร่วมลงทุนกลับคืนได้ และพวกจำเลยทัที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สามารถประกอบกิจการใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าวพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้จ่ายเงินให้กับจำเลยทั้งเก้าไปตามจำนวนเงินของผู้เสียหายแต่ละราย รวมทั้งสิ้น 1,376,215,359.74 บาท โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดและให้พวกจำเลยทั้งเก้าชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายทั้ง 2533 ราย รวม1,376,215,359.74บาทด้วย

โดยศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้พวกจำเลยฟังจนเข้าใจและสอบถามว่า จะรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า จำเลยทั้งหมด ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐาน ทั้งสองฝ่าย วันที่ 9 มี.ค. 2563 ในเวลา13.30 น.