จำคุกตลอดชีวิต! แก๊งรุมโทรม ด.ญ.14 ปี เกาะแรด

2020-01-14 16:40:33

จำคุกตลอดชีวิต! แก๊งรุมโทรม ด.ญ.14 ปี เกาะแรด

Advertisement

ไม่รอด...ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยืนตามศาลชั้นต้น จำคุกตลอดชีวิตแก๊งรุมโทรมเด็กหญิง 14 ปี ชาวเกาะแรด

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ศาลจังหวัดพังงา หลังผู้ต้องหาในคดีร่วมกันรุมโทรมข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่บ้านเกาะแรด ต.หล่อยูง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นและเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2559 ได้เดินทางมาที่ศาลพร้อมกับทนายความและญาติๆ เพื่อฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8

ล่าสุด ศาลอุธรณ์ภาค 8 ได้อ่านคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยตัดสินจำคุก ในข้อหาร่วมกันรุมโทรมข่มขืนกระทำชำเรา หญิงสาวอายุไม่เกิน 15 ปี ที่มิใช่ภรรยาของตน และข้อหาบุกรุกเคหสถานในยามค่ำคืนรวมถึงข้อหาอื่นๆ โดยศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นแก่จำเลยทั้งหมด โดยให้จำเลยที่ 1-7 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 8 จำคุก 45 ปี จำเลยที่ 9 และ จำเลยที่ 11 ลงโทษจำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 10 ลงโทษจำคุก 20 ปี 4 เดือน พร้อมทั้งให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ฝ่ายเด็กหญิงและมารดาอีกประมาณ 6 ล้านบาท ส่วน จำเลยที่ 5 ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้า ศาลได้จำหน่ายออกจากคดี ส่วนจำเลยที่ 1, 2, 3 และ 6 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดพังงาแต่ใช้วิธีการฟังคำพิพากษาผ่านทาง Video Conference ที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยหลังจากนี้ต้องติดตามต่อไปว่า ศาลฎีกาจะอนุญาตให้จำเลย ที่ได้รับการประกันตัวก่อนหน้านี้คือจำเลยที่ 7-11 ได้รับการประกันตัว ในระหว่างการต่อสู้ของศาลฎีกาหรือไม่




สำหรับเหตุผลที่ทำให้ศาลรับฟังคำให้การของเด็กหญิงผู้เสียหายนั้น เนื่องจากเป็นการให้การที่มีความละเอียด และไม่มีเหตุผลจะต้องสร้างเรื่องเพื่อสร้างความอับอายให้กับตนเองและครอบครัว ประกอบกับเมื่อพนักงานสอบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่และวัตถุพยานต่างๆที่เด็กหญิงกล่าวอ้าง ทั้งในส่วนของสถานที่ที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราภายในบ้านพักและบริเวณชายหาดกระท่อมร้าง ล้อยางรถยนต์พบว่าสิ่งของทั้งหมดมีอยู่จริง รวมถึงการเบิกความคำให้การของทีมแพทย์จิตเวช และทีมแพทย์ที่ตรวจร่างกายของเด็กหญิงผู้เสียหายยืนยันได้ชัด

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยังได้พูดถึงกรณีข้อต่อสู้ของฝ่ายจำเลยที่ เด็กหญิงผู้เสียหายอ้างว่ายังมีเด็กหญิงในหมู่บ้านเกาะแรดอีก 2 รายถูกข่มขืนกระทำชำเราด้วยนั้น ศาลมองว่าแม้เด็กหญิงทั้ง 2 รายจะปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่ทนายฝั่งจำเลยกลับไม่นำเด็กหญิงทั้งสองคนมาเบิกความต่อชั้นศาล ทำให้คำปฏิเสธดังกล่าวมีน้ำหนักน้อย และเมื่อพนักงานสอบสวนตรวจสอบหาสารเสพติดของจำเลย ที่ 3 พบว่ามีสารเสพติดในร่างกายจริง ทำให้สอดรับกับคำให้การของเด็กหญิงผู้เสียหายที่ระบุว่าในทุกครั้งที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราจะถูกบังคับให้เสพยาเสพติดด้วย



ด้าน นายสรรเพชร​ ทิพย์​มณเทียร​ ทนายความจิตอาสาของฝ่ายจำเลยในคดีนี้​ กล่าวว่า​ หลังจากได้ฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว แม้ว่าผลจะไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ จากนี้ไปทางทีมทนายจิตอาสาและจำเลย เตรียมจะประกันตัวเพื่อต่อสู้ในศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุดต่อไป เพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่จะเป็นข้อต่อสู้ในชั้นฎีกา ส่วนสภาพจิตใจของจำเลยและครอบครัวนั้นมีสภาพที่โศกเศร้าเป็นอย่างมาก แต่ก็ได้ให้กำลังใจเพื่อต่อสู้ในศาลฎีกาต่อไป