พ้นยุคทอง "งูเห่า" อำนาจต่อรองถดถอย

2020-01-14 16:40:38

พ้นยุคทอง "งูเห่า" อำนาจต่อรองถดถอย

Advertisement

ท่ามกลางวิกฤติเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาล "บิ๊กตู่" ตัวช่วยสำคัญหนีไม่พ้น "งูเห่า" แม้จะเพียงเสียงเดียว ก็มีมูลค่าเพิ่มมากมาย เห็นได้จากการดึงดูดพรรคเล็กที่มี ส.ส. แค่ 1-2 คนเข้าร่วมเป็นฐานสนับสนุน


วันดีคืนดี อารมณ์บ่จอย ไม่ได้อย่างที่หวังไว้ ก็ก่อหวอดเป็นข่าวบนหน้าสื่อ แค่ 1 หรือ 2 คน ขี้คร้านฝ่ายรัฐบาลต้องวิ่งโอ๋พัลวัน แจกกล้วยให้ลดความพยศลง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นเรื่องไร้สาระ เปลี่ยนจุดยืนไปมา เดี๋ยวหนุนรัฐบาล เดี๋ยวไม่เอารัฐบาล และพยายามอุปโลกน์ ฝ่ายค้านอิสระขึ้นมา ทั้งที่การเมืองไทย แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีพรรคฝ่ายค้านอิสระของจริง แม้แต่ในยุคพรรคพลังธรรมเฟื่องฟู เคยประกาศช่วงหาเสียงว่าพร้อมเป็นฝ่ายค้านอิสระ แต่สุดท้ายก็เข้าร่วมรัฐบาล

การกระฟัดกระเฟียดของบางคนบางพรรคจึงนำไปสู่คำเปรียบเปรยเป็น "ลิง" ต้องใช้ "กล้วย" หลอกล่อจึงยอมสงบเสงี่ยม เช่นเดียวกับคำเปรียบเทียบ การเพาะพันธุ์ฟาร์มงูเห่า ที่ต้องไปฉกตัวมาจากพรรคการเมืองอื่น

ข่าวคราวเพาะพันธุ์งูเห่า เริ่มมีตั้งแต่หลังเลือกตั้ง ที่ 2 ฝ่ายระหว่างขั้วพรรคเพื่อไทยกับขั้วพรรคพลังประชารัฐเปิดศึกแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาล

ตอนนั้น ส.ส พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นคนหน้าใหม่ ต่างปูดข่าวถูกเจรจาทาบทามด้วยสนนราคาเริ่มต้นที่ 30 ล้านบาท ก่อนจะทยอยเพิ่มค่าตัวให้เรื่อยๆ กระทั่ง 50 ล้านบาท 60 ล้านบาท หรือแม้กระทั่ง 120 ล้านบาทก็มี

เชื่อว่าการทาบทามน่ะ มีเกิดขึ้นจริงแน่ๆ แต่ราคาจะเวอร์วังถึง 50-60 ล้านบาทอย่างที่อ้างหรือไม่ นั่นเป็นอีกกรณีหนึ่ง

ฤทธิ์เดชของ "งูเห่า" เริ่มส่งสัญญาณให้เห็นว่ามีเกิดขึ้นแน่ๆ ในการประชุมสภาผู้แทนฯเลือกรองประธานสภาฯคนที่ 1 นายสุชาติ ตันเจริญ

แต่ยังไม่แสดงตัวตนชัดเจน กระทั่งโผล่สะท้อนให้เห็นแบบจะๆเป็นครั้งแรก ในการประชุมสภาฯ พิจารณา พ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพลและงบประมาณบางส่วนของเหล่าทัพฯ โดยมี ส.ส. 3 คนของพรรคอนาคตใหม่โหวตสวนมติพรรค และอีก 1 คนงดออกเสียง ซึ่งทั้ง 4 คนนี้ ในเวลาต่อมาได้กลายเป็น "งูเห่า" ชุดแรกที่ถูกขับออกจากพรรคอนาคตใหม่ในที่สุด

จากนั้น "งูเห่า" ก็เริ่มเลื้อยเพ่นพ่าน ไม่เหนียมอายอีกแล้ว โดยเฉพาะในการประชุมสภา สมัยปัจจุบัน (สมัยที่ 2)

ตั้งแต่ช่วยให้รัฐบาลกู้หน้าได้สำเร็จ คือไม่มีปัญหาองค์ประชุม ในการพิจารณาญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบจากคำสั่งและประกาศ คสช.ตาม ม.44 จนญัตตินี้ต้องตกไปด้วยมติเสียงข้างมากไม่เห็นด้วย

ก่อนจะมาแผลงฤทธิ์อีกที ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2563 ชนิดที่ส่วนใหญ่เป็นคนหน้าเดิมๆ

แต่เสียงสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลที่สูง ถึง 253 เสียง โดยมีฝ่ายค้านร่วมโหวตหนุน 7 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้าน ซึ่งมีทั้งสิ้นประมาณ 243 เสียง กลับแสดงตนและโหวตงดออกเสียงแค่ 196 เสียง หายไปร่วม 40 เสียง ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง เพราะรู้ทั้งรู้ว่า การพิจารณา พ.ร.บ.งบฯ ต้องมีการโหวตเสียงทุกมาตรา จึงควรต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา กลับหายไปอย่างเป็นปมปริศนา

หากตีความนัยทางการเมือง เท่ากับตอนนี้รัฐบาลได้พรรคเศรษฐกิจใหม่เปลี่ยนใจมาสนับสนุนอีก 5 ใน 6 เสียง และยังมี ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชาติ ที่พร้อมเคียงข้างโหวตให้อีกอย่างน้อยรวม 4 คน

เท่ากับในทางปฏิบัติ รัฐบาลมีเสียงช่วยหนุนมากกว่าฝ่ายค้านสูงถึงประมาณ 20 เสียงเข้าไปแล้ว

ซึ่งจะสร้างความอุ่นใจให้อีกมากโข และไม่ต้องหวาดหวั่นกับเสียงสนับสนุน ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย

ยังไม่นับปรากฎการณ์ "ผึ้งแตกรัง" หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ 21 มกราคม 2563 หากเป็นไปตามที่กูรูการเมืองส่วนใหญ่ฟันธงไว้ล่วงหน้า

จะมี ส.ส.อย่างน้อย 20 คนที่จะย้ายไปสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ส่งผลให้ปมเสียงปริ่มน้ำจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่คอยสร้างความกังวลให้ซีกรัฐบาลอีกแล้ว

ในทางกลับกัน บทบาทและความสำคัญของกลุ่ม ส.ส.งูเห่าก็จะเริ่มถดถอยลง อำนาจสำหรับการเจรจาต่อรองจะสาละวันเตี้ยลง ค่าตัวที่เคยอ้างว่าสูงถึง 30 ล้านบาท หรือ 50-60 ล้านบาท อาจกลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่มีย้อนกลับมาเป็นจริงได้

นี่แหละครับการเมืองไทย อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ หรือเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้นครับ


ขอบคุณภาพ : สถานีวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา