“ไพบูลย์”ค้านตั้ง ส.ส.ร. ลั่นไม่จำเป็นแก้ รธน.ทั้งฉบับ

2020-01-02 12:20:35

“ไพบูลย์”ค้านตั้ง ส.ส.ร. ลั่นไม่จำเป็นแก้ รธน.ทั้งฉบับ

Advertisement

“ไพบูลย์”ออกโรงค้านตั้ง ส.ส.ร. ลั่นแก้ รธน.ทั้งฉบับไม่จำเป็น แนะรื้อรายมาตราจบ

เมื่อวันที่ 2 ม.ค.นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า การประชุม กมธ.วิสามัญฯจะมีอีกครั้งในวันที่ 14 ม.ค. และ 17 ม.ค.นี้ เนื่องจากจะต้องรอให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำงบประมาณ พ.ศ.2563 เสร็จสิ้นในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก่อน ซึ่งในช่วงเวลาของการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณนั้นทางสภาผู้แทนราษฎร ได้ขอความร่วมมือให้งดการประชุม กมธ.เป็นการชั่วคราว ทำให้ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จะกลับมาประชุมอีกครั้งในเวลาดังกล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สำหรับการประชุมในวันที่ 14 ม.ค.และ17 ม.ค.นั้น จะยังไม่มีการพิจารณาเป็นรายมาตราว่าควรจะแก้ไขในมาตราใด เพราะจะเป็นขั้นตอนการเปิดให้กรรมาธิการวิสามัญฯได้อภิปรายแสดงความคิดเห็น เพื่อสรุปเป็นสาระสำคัญเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวมีประเด็นที่จะเสนอต่อที่ประชุมใน 2 ส่วนด้วยกัน คือ 1.การเสนอให้สื่อมวลชนเข้ามารับฟังการประชุมของ กมธ.เพื่อที่จะได้มีการนำเสนอและสะท้อนข้อมูลของ กมธ.ออกไปได้ทั้งสองด้าน เพื่อให้สังคมได้เห็นว่าใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในประเด็นใดและอย่างไร ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแสดงความคิดเห็นเพียงฝ่ายเดียว โดยส่วนตัวมองว่าเมื่อเวที กมธ.วิสามัญฯแล้วก็ควรแสดงความคิดเห็นกันอย่างมีเหตุผล ไม่ควรปลุกกระแสให้เกิดความขัดแย้ง แต่ควรนำเหตุผลและข้อมูลมาอภิปรายแลกเปลี่ยนกัน

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า 2.เตรียมเสนอประเด็นและเหตุผลถึงการไม่เห็นด้วยกับการให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)โดยจะนำเสนอในภาพรวมว่าที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งส.ส.ร.เพราะขาดความเป็นไปได้ ขาดเหตุผล และขาดความจำเป็น และที่สำคัญจะเป็นการสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากการตั้งส.ส.ร. โดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรแก้ไขเป็นรายมาตรามากกว่า ซึ่งจะต้องมาจากความคิดเห็นที่ว่ามาตราดังกล่าวมีปัญหาโดยแท้และสังคมยอมรับว่าควรจะต้องมีการแก้ไข โดยเทียบเคียงกับการแก้ไขประมวลกฎหมาย เช่น ประมวลรัษฎากร หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเวลาหนึ่งที่ประมวลกฎหมายดังกล่าวมีปัญหา ฝ่ายบริหารจะเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขเป็นรายมาตรา ไม่ได้มีการยกร่างใหม่ทั้งฉบับแต่ประการใด

"การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากจะแก้ไขโดยอาศัยความเห็นฝ่ายเดียวย่อมจะนำมาซึ่งปัญหาได้ อีกทั้งที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ปราศจากความคิดเห็นร่วมกันจะเกิดขึ้นมาได้แม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะประสบความสำเร็จได้จะต้องมาจากความคิดเห็นร่วมกันของทุกฝ่ายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและไม่สร้างความขัดแย้ง" นายไพบูลย์ กล่าว