"สุเทพ" ชี้ม็อบปีหน้าไม่ร้อนแรง ระบุยังไม่เห็นประเด็นความเดือดร้อนของประชาชนถึงขั้นนำคนออกมาชุมนุม เชื่อมั่นรัฐบาลแก้ไขปัญหาต่างๆได้
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2563 ที่บางกลุ่มประกาศจะจัดการชุมนุมตั้งแต่ต้นปี ว่า อยากชวนประชาชนชาวไทยมองโลกในแง่ดี เราต่างมีประสบการณ์ในทางการเมืองกันมามากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เราทุกคนต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวโดยกลุ่มใดก็ตาม ตนเชื่อว่าหน้าที่ของพวกเราคนไทยคือการทำงานถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการทำงานให้กับแผ่นดิน ทั้งนี้ ตนยังเชื่อมั่นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำงานเพื่อชาติและประชาชนได้สำเร็จในระดับที่ประชาชนทั้งหลายจะเกิดความพึงพอใจ ส่วนเรื่องการเมืองเปรียบเหมือนกับชีวิตคนเราที่มีลุ่มๆดอนๆบ้างซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าทุกคนทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกันและเห็นแก่ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง ตนเชื่อว่าเราจะฝ่าฟันไปได้
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า กรณีที่จะมีการชุมนุมเกิดขึ้นนั้น ตนไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้อนแรง การชุมนุมของประชาชนเพื่อเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าทำอยู่ในกรอบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็มีสิทธิ์ทำได้ ขณะเดียวกัน การชุมนุมต้องเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไ่ม่มีการก่อเหตุอะไร ส่วนประชาชนจะออกมาร่วมด้วยหรือไม่นั้น อยู่ที่ผู้จัดการชุมนุมมีวัตถุประสงค์อะไร ถ้าเขาต้องการเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ประชาชนคงไม่มาร่วมด้วย แต่ตอนนี้ตนยังไม่เห็นว่ามีอะไรที่เป็นประเด็นความเดือดร้อนของประชาชนที่ถึงขั้นจำเป็นต้องนำคนออกมาชุมนุม ตนยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลน่าจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆของประชาชนได้ อาทิ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพืชผลทางการเกษตรที่ต้องยกคะแนนความดีให้กับรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน จากการแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันที่เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของประเทศไทยได้สำเร็จ โดยจากการไปพบปะกับเกษตรกรชาวสวนปาล์มในภาคใต้ เขาบอกว่าขณะนี้ราคาปาล์มน้ำมันสูงขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 6 บาทเศษ ช่วยทำให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มมีรายได้เพียงพอในการดำรงชีวิต ถ้ารัฐบาลสามารถทำโครงการในลักษณะที่มุ่งแก้ไขปัญหาราคาพืชผลกาารเกษตรได้อย่างยั่งยืน ตนคิดว่าเศรษฐกิจพื้นฐานของครอบครัวเกษตรกรจะดีขึ้น ซึ่งตนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะต้องหาหนทางดำเนินการเรื่องดังกล่าว