เกิดเหตุสลดรถตู้ของเทศบาลตำบลตาลเดี่ยว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ พุ่งข้ามเกาะกลางถนนชนประสานงากับรถยนต์กระบะพังยับ เสียชีวิตจำนวน 1 ราย ได้รับบาดเจ็บอีก 7 ราย โดยผู้เสียชีวิตเป็นนายกเทศมนตรีตำบลตาลเดี่ยว
เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 27 ธ.ค. ขณะที่ ร.ต.อ.สยาม เสตา พนักงานสอบสวน ปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวร สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ได้รับแจ้งว่า เกิดอุบัติเหตุหมู่รถยนต์ชนกัน บนเส้นทางหลวงหมายเลข 21 ถนนสายสระบุรีหล่มสัก ใกล้บริเวณหน้าหมู่บ้านโฮมแลนด์ ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย และมีผู้ติดอยู่ในซากรถ จึงประสานไปยังรถกู้ชีพ รพ.เพชรบูรณ์ อาสากู้ภัยมูลนิธิร่มโพธิ์เพชรบูรณ์ และมูลนิธิร่วมกตัญญูจุดท่าพล จากนั้นจึงเดินทางไปตรวจสอบ จุดเกิดเหตุ อยู่กลางถนนสายสระบุรี - หล่มสัก ฝั่งขาขึ้น พบรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน นข 3206 เพชรบูรณ์ พลิกคว่ำอยู่กลางถนน สภาพด้านหน้าพังยับเยิน ใกล้กัน พบรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน นาวาร่า สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน 2 ฒล 4683 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้าพังยับเยินเช่นเดียวกัน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมีทั้งหมด 8 ราย ซึ่งรถพยาบาลของ รพ.หล่มสัก ที่มาประสบเหตุ ได้นำออกจากรถและช่วยเหลือเบื้องต้น ได้แก่ นายทวีวุฒิ แก้วยม อายุประมาณ 35 ปี อาการสาหัส นางสายนภา ภูอินทร์อ้อย อายุ 56 ปี อาการสาหัส น.ส.สุปราณี จันทร์หยวก อายุ 46 ปี นางอำไพร จันทร์หยวก อายุ 55 ปี อาการสาหัส ด.ช.ปัญพัทธน์ เกษแก้ว อายุ 10 ปี ด.ญ.ข้าวฟ่าง อายุ 2 ปี และชายไทยไม่ทราบชื่อ อาการสาหัส และมีสุนัขพันธุ์ปั๊ก ได้รับบาดเจ็บขาหัก 2 ขา จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ต่อมานางสายนภา ภูอินอ้อย อายุ 56 ปี ซึ่งทราบต่อมาว่า มีตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลตาลเดี่ยว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา
จากการสอบสวนทราบว่า รถตู้ของเทศบาลตำบลตาลเดี่ยวได้ขับจาก อ.หล่มสัก มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเพชรบูรณ์ โดยมีนายทวีศักดิ์ แก้วยม เป็นคนขับ และมีนางสายนภา ภูอินทร์อ้อย อายุ 56 ปี นายกเทศมนตรีตำบลตาลเดี่ยว และคาดว่ามีผู้โดยสารชายอีก 1 คน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้เสียหลักชนเกาะกลางถนนเหินข้ามฝั่งมาอีกเลน เป็นจังหวะเดียวกันกับรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน นาวาร่า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 2 ฒล 4683 กรุงเทพมหานคร วิ่งสวนทางมาจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ จึงทำให้ชนประสานงากันอย่างจัง จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป