“เทพไท” เผยชาวนครศรีธรรมราชเข้าใจลงมติหนุนตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบ ม.44 ชี้ข่าวปรับ ปชป.ออกจากรัฐบาล แค่โยนหินถามทาง สร้างกระแสกดดัน
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการตัดสินใจลงมติยืนยันให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 ว่า เมื่อได้ลงพื้นที่พบพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 3 ซึ่งมี 4 อำเภอ ประกอบด้วย อ.พระพรหม อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.จุฬาภรณ์และ อ.ชะอวด ได้มีโอกาสปราศรัยทางการเมืองในงานศพ ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ วันละ 9-10 งานโดยได้ชี้แจงเหตุผลของการตัดสินใจการลงมติยืนยันมติเดิมของตัวเองให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ ซึ่งปรากฏว่ามีเสียงตอบรับ และสนับสนุนการตัดสินใจในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ถ้าหากตนเองกลับมติเปลี่ยนจากการลงมติในครั้งแรก ก็จะถูกตำหนิและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน ในเขตในพื้นที่เขตเลือกตั้งจนได้รับความเสียหายทางการเมืองเป็นอย่างมาก
นายเทพไท กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ของการลงมติในครั้งที่ผ่านมา ก็จะนำมาเป็นบทเรียน และจะนำไปปรับปรุงการทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรในโอกาสต่อไป และสำหรับการทำหน้าที่ ส.ส.ของตนเองนั้น ไม่ว่าจะเป็นการยื่นญัตติหรือการอภิปรายสนับสนุนหรือคัดค้านญัตติใดๆ จะต้องสอบถามแนวทางหรือต้องหาธงคำตอบจากวิปรัฐบาล ก่อนการดำเนินการใดๆ จะทำตามอำเภอใจไม่ได้อีกแล้ว เพราะถ้าหากทำหน้าที่ ส.ส.ขัดกับมติวิปรัฐบาล ก็อาจจะมีผลกระทบต่อสถานะความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและกระทบต่อจุดยืนของตนเองได้
ส่วนกระแสข่าวเกี่ยวกับการปรับพรรคประชาธิปัตย์บางส่วนออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจาก ส.ส.ของพรรค 6 คนไม่โหวตเสียงตามมติวิปรัฐบาลนั้น นายเทพไท กล่าวว่า น่าจะเป็นเพียงการปล่อยข่าวโยนหินถามทาง หรือสร้างกระแสกดดันมากกว่า เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆทางการเมือง ที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลนั้น ถ้าจะเข้าร่วมหรือออกจากการร่วมรัฐบาล ก็ต้องออกไปทั้งพรรค จะปรับออกบางส่วนให้ร่วมรัฐบาลบางส่วนของพรรคเดียวกัน ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใดเข้าร่วมรัฐบาลเพียงครึ่งพรรค ถ้าเป็นจริงเช่นนั้นพรรคการเมืองนั้นก็จะแตกออกเป็น 2 ส่วน และเปลี่ยนแปลงเป็นพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา 2 พรรคอย่างแน่นอน เพราะฉนั้นทุกฝ่ายไม่ควรทำให้วัฒนธรรมทางการเมืองเสียหาย อยากให้เล่นการเมืองภายในกรอบหรือกติกา วัฒนธรรมประเพณีทางการเมืองที่เคยปฏิบัติกันมา ไม่ควรเอาเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากล มาช่วงชิงความได้เปรียบและเสียเปรียบทางการเมืองต่อพรรคการเมืองอื่นๆเพียงเพื่อให้พรรคตัวเองอยู่ในอำนาจให้ยาวนานที่สุด