"ปิยบุตร" กังขา กกต. เร่งรัดผิดปกติ คดีอนาคตใหม่กู้เงิน “ธนาธร” (คลิป)

2019-12-06 13:45:52

"ปิยบุตร" กังขา กกต. เร่งรัดผิดปกติ คดีอนาคตใหม่กู้เงิน “ธนาธร” (คลิป)

Advertisement

"ปิยบุตร" ระบุคดี “อนาคตใหม่” กู้เงิน “ธนาธร” ส่งหลักฐานแล้วแต่บางรายการต้องใช้เวลามาก ตั้งข้อสังเกต กกต. เร่งรัดผิดปกติ คาดมีขบวนการโจมตีใช้สื่อชี้นำให้เหมือนมีพิรุธ

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ที่พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการให้ข่าวกรณีพรรคกู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ว่า คดีเงินกู้นั้น คาดว่า กกต.จะพิจารณาและมีมติเพื่อดำเนินการต่อไป 11 ธ.ค. โดยคดีนี้ เริ่มต้น 8 ก.ค. ซึ่ง กกต.ได้มีหนังสือเชิญบุคคลไปชี้แจง ทั้่งนี้ หัวหน้าพรรค เหรัญญิก และตนได้เดินทางไปพบ ต่อมา กกต.ได้ขอเอกสารจำนวนมาก ซึ่งเราส่งไปแล้วหลายรายการ เช่น สำเนาสัญญากู้ยืมเงิน สำเนาหลักฐานการชำระหนี้เงินกู้ สำเนาแสดงการบริจาคสำหรับการบริจาค 5,000 บาทขึ้นไป แต่ยังมีอีกหลายรายการต้องใช้เวลา เช่น สำเนาบัญชีรายวันแสดงรายรับรายจ่าย สำเนาบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคยอดต่ำกว่า 5,000 บาท สำเนาบัญชีแยกประเภท และสำเนาบัญชีแสดงรายรับและหนี้สิน ซึ่งทั้งหมดนี้ กกต. ขอย้อนหลังถึง 9 เดือน พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคมวลชน มีศูนย์ประสานงานทั่วประเทศ มีรับบริจาคขายของ มีกิจกรรมระดมทุนเยอะมาก ต้องขอขยายเวลาเพื่อเตรียมเอกสารเหล่านี้ 2-3 เดือน แต่ กกต.ไม่ยอม ยืนยันว่าจะให้ส่งในวันที่ 2 ธ.ค.

นายปิยบุตร กล่าวว่า เอกสารที่ กกต. ขอเรามา ประมาณการณ์รวมแล้ว 90 แฟ้ม แฟ้มละ 3 นิ้ว เอกสารนำมาวางกอง สูง 3 เมตร ซึ่งจากระยะเวลาทั้งหมดที่ กกต.ร้องขอ คือให้ส่งใน 2 สัปดาห์ เราต้องสำเนาและลงนามกำกับทั้งหมด ถามว่าใครจะทำทัน นี่เป็นเหตุสุดวิสัย และไม่ใช่ว่าเราไม่ส่ง เราส่งแล้วแต่ยังไม่ครบ เพราะต้องใช้เวลา นี่ยังไม่รวมข้อกฎหมาย ซึ่งเอกสารเหล่านี้พรรคการเมืองต้องส่งให้ กกต.ช่วงเดือน เม.ย.ทุกปีอยู่แล้ว โดยต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชีลงนามรับรอง ซึ่ง กกต.สามารถตรวจสอบในช่วงนั้นได้ จึงเป็นข้อสังเกตว่า เร่งรัดอะไรขนาดนี้ เราส่งให้แน่ แต่สำเนาเอกสารเยอะถึง 90 แฟ้มต้องขอเวลา แต่ที่สำคัญคือ เรื่องเอกสารเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับคดีด้วย เพราะคดีนี้คือเกี่ยวกับการกู้เงินของพรรคการเมืองว่าทำได้หรือไม่

นายปิยบุตร กล่าวว่า คดีเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ ซึ่งเห็นว่ามีการใช้วิธีการพูดผ่านสื่อ แล้วสื่อบางสำนักขยายผลต่อ ทำให้กระบวนการต่างๆ อยู่ในมือสื่อเป็นการชี้นำ เช่น ออกหนังสือทวงเอกสารโดยผ่านการแถลงผ่านสื่อ ซึ่งไม่เคยมีปฏิบัติมาก่อน และตามมาด้วยการปั่นกระแสว่าพรรคอนาคตใหม่เสร็จแน่นอน เพราะไม่ยอมส่งเอกสาร เป็นการกระทำที่มีพิรุธ และก็ปล่อยแหล่งข่าวกล่าวโจมตีว่า กกต.ให้โอกาสแล้ว แต่เราไม่ยอมส่ง ทั้งที่มีประโยชน์กับตนเอง เมื่อไม่ส่งเลยต้องตัดพยาน นี่เป็นการทำดคีให้เกี่ยวพันกับการเมือง ใช้สื่อปั่นไปเรื่อยๆ ซึ่งความจริงคือ เอกสารที่ขอมานั้นเราส่งแล้วบางส่วน แต่บางส่วนที่ กกต.ขอมา เป็นเรื่องสุดวิสัยที่จะส่งให้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ เรายืนยันพร้อมส่ง แต่ กกต.เร่งแบบนี้ เราทำไม่ทันแน่นอน

"กรณีลักษณะอย่างนี้ ถ้าเป็นการกระทำที่ทำไปโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม ทางพรรคอนาคตใหม่ขอสงวนสิทธิ์ฟ้อง กกต.ในคดีอาญา และคดีแพ่ง ต่อไป ซึ่งท้ายที่สุด เรื่องนี้เราเห็นว่า กกต.ไม่ประเมินความเป็นจริงว่าทำได้หรือไม่ ในการจัดส่งเอกสารตามเวลาที่กำหนด และที่สำคัญ ท่านต้องปรับเรื่องวิธีคิดทางการเมืองใหม่ ต้องไม่คิดว่าพรรคการเมืองจะเป็นแบบเดิมๆ ที่มีนายทุนพรรคไม่กี่คน คนบริจาคพรรคไม่กี่คน มีเอกสารบัญชีรายรับรายจ่ายไม่มาก มีกิจกรรมไม่มาก เรียกตรวจเอกสารได้ง่าย ต้องปรับวิธีคิดเรื่องนี้ใหม่ เพราะพรรคอนาคตใหม่มีคนบริจาคเงินจำนวนมากทั้งจากรายย่อยที่บริจาคหลักร้อยบาทพันบาท จนไปถึงรายใหญ่ที่บริจาคหลักล้าน มีรายได้จากการขายสินค้าระดมทุนจากคนทั้งประเทศ ทำกิจกรรมเยอะมาก เอกสารแบบนี้มีเยอะ ซึ่งก็แปลกใจว่าพอเราโปร่งใส ทำไมมาใช้เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จัดการ แต่อย่างไรก็ตาม ผมยืนยันอีกครั้ง ตามกฎหมายพรรคการเมือง คดีนี้ไม่เกี่ยวกับการยุบพรรคแต่อย่างใด" นายปิยบุตร กล่าว

ส่วนกรณีนายธนาธร ฟ้อง กกต.ต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริต ในข้อหาใช้อำนาจโดยมิชอบ เนื่องจาก มีการเร่งรัดคดีวีลัคมีเดียอย่างผิดปกติ เร่งร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่กระบวนการสืบสวนในชั้น กกต. ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะ ยังเรียกสอบพยานบุคคลอยู่เลยนั้น และต่อมา กกต.พยายามชี้แจงว่า การเรียกสอบนั้น เป็นการเรียกสอบอีกคดีหนึ่ง คือ ความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.เลือกตั้ง ไม่ใช่คดีถือหุ้นวีลัคมีเดีย นั้น นายปิยบุตร กล่าวว่า กกต. เสนอคำร้องกรณีนายธนาธรมีลักษณะต้องห้ามเนื่องจากถือหุ้นสื่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 16 พ.ค. แต่ กกต. กลับมีหนังสือเรียกพยานบุคคลมาสอบ ลงวันที่ 17 พ.ค. โดยหนังสือเรียกระบุชัดเจนว่า เป็นการเรียกมาสอบในกรณีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง มิใช่ เป็นการเรียกมาสอบในคดีอาญาในความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง แต่อย่างใด นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ กกต. พูดนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เมื่อหนังสือเรียกที่ส่งมาให้ในวันที่ 17 พ.ค. ระบุชัดเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่า กกต.เร่งรัดเสนอคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่กระบวนการสืบสวนในชั้น กกต. ยังไม่แล้วเสร็จ นายธนาธรจึงฟ้อง กกต. เป็นคดีอาญา