ผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบโครงสร้างอาคารปั๊มน้ำมันถล่มดับ 7 ศพ ด้านเจ้าของอาคารยื่นขอประกันตัว
วันที่ 26 พ.ย.ที่บริเวณสถานที่เกิดเหตุอาคารถล่ม พื้นที่ หมู่ 1 ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พ.ต.ท.อนุกูล หนูเกตุ รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.ถลาง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ หนูผึ้ง รอง ผกก. พิสูจน์หลักฐานจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดภูเก็ต นาย ประทีป ณ ถลาง รองปลัดเทศบาลตำบลศรีสุนทร นายช่างเทศบาลตำบลศรีสุนทร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบและเก็บหลักฐานเพิ่มเติมในส่วนของโครงสร้างอาคารที่ถล่ม
สำหรับการดำเนินการของทางเจ้าหน้าที่นั้น ได้มีการตรวจสอบเพื่อหาฐานรากของอาคาร และมีการตรวจวัดความหนาของแผ่นพื้นที่พังลงมา ทั้งนี้เนื่องจากอาคารดังกล่าวไม่มีแบบก่อสร้าง ดังนั้นจะต้องให้ทางช่างผู้เชี่ยวชาญของเทศบาลตำบลศรีสุนทร ทำแบบจำลองของอาคารดังกล่าวขึ้น เพื่อมาคำนวณหาปริมาณปูนและเหล็กที่ใช้ว่ามีความแข็งแรงเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่อย่างไร ซึ่งการรวบรวมรายละเอียดทั้งหมดจะนำไปใช้ประกอบสำนวนคดี เนื่องจากทางด้านเจ้าของอาคารยังไม่ได้มีการให้ข้อมูลรายละเอียดใดๆแก่เจ้าหน้าที่
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอความร่วมมือจากผู้ดูแลพื้นที่ในการใช้รถแบ็คโฮทำการขุดหาฐานรากของอาคาร 2 จุด ซึ่งเป็นจุดที่มีเสาโผล่ขึ้นมา ก่อนทำการเก็บหลักฐาน โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนเดินทางกลับ
พ.ต.ท.อนุกูล หนูเกตุ รองผกก.(สอบสวน) สภ.ถลาง เปิดเผยว่า อาคารที่ก่อสร้างและพังถล่มลงมาหลังนี้ทางผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นเบื้องต้นว่า เป็นการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากเป็นการก่อสร้างที่ ไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีแบบ ส่วนวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างรวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้จะไม่ได้มาตรฐานด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำการสืบสวนต่อไป
ขณะที่ นายเติมศักดิ์ รักโอ นายช่างจากกองช่างเทศบาลตำบลศรีสุนทร ระบุว่า จากการตรวจสอบ พบว่าสถานที่ในจุดที่เจ้าของอาคารใช้การก่อสร้างนั้นพื้นที่มีลักษณะชุ่มน้ำซึ่งทำให้อาจอีกเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการทรุดตัวของอาคารได้ง่าย ถ้าตัวอาคารไม่ได้มาตรฐานโดยหลังจากนี้จะรวบรวมข้อมูลที่ตรวจสอบได้ทั้งหมดเพื่อส่งให้กับตำรวจต่อไป
อย่างไรก็ตามสำหรับนายชูชาติ ปาละสุวรรณ ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารนั้นหลังจากได้เข้ามอบตัวกับทางพนักงานสอบสวนสภ.ถลาง เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา ล่าสุดมีรายงานเราว่าศาลจังหวัดภูเก็ตได้อนุญาตให้ประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 1 ล้านบาท