เลื่อนแบน "3 สารพิษ" เกมวัดใจพรรคร่วมรัฐบาล

2019-11-25 20:00:40

เลื่อนแบน "3 สารพิษ" เกมวัดใจพรรคร่วมรัฐบาล

Advertisement

อย่างที่เคยย้ำมาหลายครั้ง แบน 3 สารเคมีอันตราย ถ้าทำได้ง่ายๆ ป่านนี้ คงสั่งห้ามไปนานแล้ว


ต้องไม่ลืมผลประโยชน์มหาศาล เฉพาะมูลค่าการนำเข้า จากตัวเลขของกรมวิชาการเกษตร และ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ตกปีละประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท

ปีเดียวนะครับ! หากนับรวม 11 ปี ระหว่างปี 2551-2561 มีมูลค่ามากกว่า 246,700 ล้านบาท ปริมาณนำเข้า 1,663,780 ตัน

จึงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ค้าผู้นำเข้าและผู้จำหน่าย ซึ่งจะไม่ยอมให้ผลประโยชน์ที่เคยได้เหล่านี้ต้องหลุดลอยไป

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะพบว่า อดีตข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะได้รับปูนบำเหน็จ เกษียณแล้วยังได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหรือมีตำแหน่งในกลุ่มบริษัทเหล่านี้ เพราะประสานผลประโยชน์กันมายาวนาน

กระทั่งมีความเห็นและท่าทีคัดค้านการแบน 3 สารพิษจากบรรดาที่ปรึกษา นักวิจัย นักวิชาการบางส่วน รวมถึงการก่อเกิดมวลชนในหลากหลายชื่อ ที่เคลื่อนไหวคัดค้านการ "แบน" 3 สารพิษอย่างเปิดเผย

ล่าสุด มีนัดรวมตัวเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการ จะนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานคณะกรรมการวัตถุอันตรายคนใหม่

เพื่อให้ยื้อมติแบน 3 สารพิษดังกล่าวออกไปอย่างน้อย 6 เดือน หรือ 180 วัน โดยอ้างมีผลกระทบต่อเกษตรกรที่ยังจำเป็นต้องใช้สารเคมีเหล่านี้ รวมทั้งข้ออ้างการรวบรวมสต๊อคและส่งคืนผู้ค้าไม่ทันวันที่ 1 ธันวามคม 2562 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการ "แบน"

โดยมีกรมวิชาการเกษตร ในสังกัดกระรวงเกษตรฯเป็นหัวหอกขับเคลื่อนสำคัญ ยื่นเรื่องผ่านคณะกรรมการเยียวยาผลกระทบต่อเกษตรกรจากการแบน 3 สารพิษ

ซึ่งสร้างอารมณ์เดือดให้กับ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ ที่ดูแลกรมนี้โดยตรง เพราะในการประชุมที่เธอเข้าร่วมด้วย กลับไม่เคยแจ้งว่ามีปัญหาการเช็คสต๊อคและส่งคืนให้กับบริษัทผู้ค้าไม่ทัน

ขณะที่รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และเป็นประธานคณะกรรมการวัตถุอันตรายคนใหม่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เห็นสอดคล้องกับข้อเสนอยืดเวลาแบนออกไป

ขณะเดียวกัน มีความพยายามเปิดประเด็นใหม่ในกลุ่มคัดค้านการแบน 3 สารพิษ โดยระบุว่า เป็นการ "เตะหมูเข้าปากหมา" โดยเฉพาะเรื่องสารเคมีตัวใหม่ที่จะเข้าทดแทน 3 สารพิษเดิม และมีราคาที่สูงกว่า

ผู้ค้า ผู้นำเข้า ผู้ผลิต และผู้ขาย จะได้รับอานิสงส์แบบเต็มๆ เมื่อได้กลายเป็น "ตัวเลือกใหม่" ทดแทน 3 ตัวเดิม

ซึ่งกรมวิชาการเกษตร ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ก็จะเป็นผู้เสนอทางเลือกให้พิจารณาด้วยเช่นเดียวกัน

โดยไม่ได้มีการพูดถึงสารชีวภัณฑ์ที่เป็นเกษตรอินทรีย์เลย ทั้งที่มีกลุ่มเกษตรอินทรีย์ และวิสาหกิจชุมชนจำนวนมาก ที่ทำสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีอันตรายในการเพาะปลูกและสร้างผลผลิต

เหตุผลจากกรมวิชาการเกษตรอีกเช่นกัน คือการอ้าง ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางกรมวิชาการเกษตร อีกทั้งกรมวิชาการเกษตรต้องทดสอบด้านพิษวิทยาและกฎเกณฑ์อื่นอีก 1-3 ปี

เรียกว่าปิดประตูลั่นดาลไว้เรียบร้อย แม้นว่าทางกรมเองทราบแนวทาง ความต้องการ "แบน" สารเคมีมาตลอด แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอะไรที่เป็น "ทางเลือก" ไว้รองรับใดๆ


การ "แบน" หรือ "ยืดการแบน" สารเคมี 3 ตัว จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและพิสูจน์ความจริงใจของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างปฏิเสธไม่ได้

ในเมื่อพรรคภูมิใจไทย ทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีสาธารณสุข และ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ ประกาศจุดยืนชัดเจน เดินหน้าแบน 3 สารพิษ ขณะที่นายสุริยะ รมว.อุตสาหกรรม พรรคพลังประชารัฐ เปิดแง้มตั้งแต่ต้นเมื่อรับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่าอาจมีการทบทวน ขณะที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังมีคำถามกังขาจากผู้คนในสังคมว่าจะเอาอย่างกันแน่ แม้เจ้าตัวจะยืนยันเมื่อไม่นานมานี้ว่าหนุนการ "แบน" 3 สารพิษแน่ๆ

แต่เมื่อมึข้อเสนอใหม่ล่าสุด จากกรมวิชาการเกษตร ออกมา ประชาชนต่างก็คาดหวังจะเห็นการประกาศย้ำจุดยืนที่ชัดเจนอีกครั้ง

งานนี้ หาก 3 รัฐมนตรีจาก 3 พรรค 3 กระทรวงเห็นไม่ตรงกัน รับรองมี "งานงอก" ตามมาแน่ๆ

แต่จะถึงขั้น เปลี่ยนขั้ว และสลับคะแนนเสียงที่เคยปริ่มน้ำหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามตอนต่อไป

เพราะพลังประชารัฐกับภูมิใจไทย ช่วงหลังๆมานี้ มีอะไร "ทะแม่งๆ" พิกล