“จุรินทร์”นำกระทรวงพาณิชย์จับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตร 6,980 ล้าน (คลิป)

2019-11-20 11:50:30

“จุรินทร์”นำกระทรวงพาณิชย์จับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตร 6,980 ล้าน (คลิป)

Advertisement

“จุรินทร์”นำกระทรวงพาณิชย์ลุยจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปมูลค่า 6,980 ล้านบาท

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 20 พ.ย. โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานสักขีพยาน การทำข้อตกลง MOU ในงานการจับคู่ธุรกิจ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกและใช้เวทีการเจรจาการค้าโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป เบื้องต้นมูลค่าการเจรจาจากการจัดโครงการจับคู่ธุรกิจ (Bisiness Matching) สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป คิดเป็นจำนวน 232.6 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 6,980 ล้านบาท

แบ่งเป็น 1.มูลค่าการเจรจาจากการลงนาม MOU ระหว่างบริษัทไทย และคู่ค้าต่างประเทศได้แก่ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จีน และอินเดีย จำนวน 14 ฉบับมูลค่าการซื้อขายคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 138.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,160 ล้านบาทประกอบด้วย สินค้าข้าว (ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวหอม ข้าวขาว ข้าวเหนียว) ปริมาณรวม 145,000 ตัน ภายในหนึ่งปี สินค้าผลไม้อบแห้ง มะพร้าวอบแห้งมะม่วงอบแห้ง 500 ตู้ ภายในห้าปี สินค้ามะขามหวาน 20 ตู้ ภายในหนึ่งปี การลงนาม MOU ข้อตกลงซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างกรมกับ Bigbasket.com ( บริษัท Supermarket Grocery Supplies Pvt. Ltd.) (5 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ 150 ล้านบาท) ภายใน 2 ปีและมูลค่าคาดการณ์การค้าภายในงานเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) คิดเป็นจำนวน 94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,820 ล้านบาท

หลังจากนั้นในช่วงการเป็นประธานเปิดโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปนายจุรินทร์ กล่าว วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษอีกวันนึงของประเทศไทยที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีโอกาสจัดให้มีการพบปะกันระหว่างผู้ส่งออกของไทยและผู้นำเข้าจากประเทศต่างๆที่มาจากทั้งประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่นเกาหลีใต้ อาเซีย ตะวันออกกลาง สหภาพยุโรป อเมริกา และแอฟริกา รวมทั้งสิ้น 176 บริษัท ขณะเดียวกันก็มีบริษัทจากประเทศไทยที่เป็นผู้ส่งออกมารวมกันอยู่ในที่นี้รวมทั้งสิ้น 150 บริษัท เพื่อเจรจาทำธุรกิจกัน ก่อให้เกิดการซื้อขายระหว่างกันที่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขส่งออกของประเทศไทยได้ในทันที

"โดยสินค้าที่จะนำมาใช้ในการเจรจาซื้อขายกันในที่ประชุมแห่งนี้ประกอบด้วยสินค้าทั้งหมด 5 หมวด ซึ่งจะมุ่งเน้นสินค้าทางการเกษตร และสินค้าเกษตรแปรรูป ประกอบด้วยยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว ผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ขอถือโอกาศนี้ขอบคุณกระทรวงพาณิชย์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าระหว่างประเทศที่ได้จัดให้มีการเจรจาพบปะระหว่างผู้นำเข้าและผู้ประกอบการไทยที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับผู้ส่งออกไทยที่จะช่วยกันนำตัวเลขการส่งออกให้กับประเทศไทยได้ต่อไป" นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้ เป็นกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเร่งรัดการส่งออกของประเทศนอกเหนือจากกิจกรรมในการที่ผมและกระทรวงพาณิชย์ได้นำภาคเอกชนไปเปิดตลาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องมาโดยลำดับตั้งแต่ในส่วนของการเปิดตลาดในจีน ในอินเดีย และตุรกี เยอรมัน ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา รวมทั้งจะมีการเตรียม การในการเปิดตลาดในต่างประเทศอีก 10 กลุ่มตลาดทั่วโลกแล้ว วันนี้ที่กำลังที่จะเพิ่มการส่งออก คือ กิจกรรมในการที่ตนได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เชิญผู้ส่งออกของเราซึ่งมีทั้งสิ้น 190 บริษัท และเชิญผู้นำเข้าจากหลายประเทศในโลกประกอบด้วยทั้งในส่วนของประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่นเกาหลีใต้ ประเทศกลุ่มอาเซียนตะวันออกกลาง สหภาพยุโรป อเมริกาและแอฟริกา จำนวน 176 บริษัท ทั้งนี้ เพื่อพบปะและทำการซื้อขายระหว่างกันเพิ่มการส่งออกให้กับประเทศซึ่งมีกลุ่มการส่งออกของเราทั้งหมด 5 กลุ่มบริษัท ประกอบด้วยข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ผลไม้แปรรูป และกลุ่มพลาสติกชีวภาพ ผลของการดำเนินการเบื้องต้นในวันนี้สามารถที่จะคาดการณ์ผลทั้งหมดได้ว่าประกอบด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่หนึ่ง คือ วันนี้ได้มีการลงนาม MOU 14 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นข้าว 145,000 ตันมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาทผลไม้แปรรูป ประกอบด้วยมะขามหวานอยู่ด้วย 520 ตู้ และการลงนามร่วมกันในการที่ทำการค้าออนไลน์ใหญ่ของอินเดีย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มย้ำสำหรับการค้าขายของอินเดียซึ่งมีลูกค้าอยู่ 12 ล้านคนทั่วประเทศ และมีโกดังอยู่ 26 โกดังอันนี้เป็นแหล่งระบายสินค้าให้กับสินค้าไทยในอินเดียด้วย คาดการณ์ว่าจะสามารถทำตัวเลขได้เริ่มต้น 150 ล้านบาทภายในสองปี การลงนามเอ็มโออยู่ 14 ฉบับมี 3 หมวดใหญ่ ข้าว ผลไม้แปรรูป และการค้าออนไลน์กับอินเดีย ส่วนการเจรจาซื้อขายวันนี้คาดการณ์ว่าจะเกิดสัญญาซื้อขายเพิ่มตัวเลขการส่งออกได้ประมาณ 2,840 ล้านบาท รวมตัวเลขที่ทำ MOU 14 ฉบับอีก 4,160 ล้านบาท รวมแล้วเฉพาะกิจกรรมนี้คาดการณ์ว่าจะสามารถนำเงินเข้าประเทศไทยประมาณ 7,000 ล้านบาทด้วยกันตัวเลขใหญ่สุดก็คือข้าว 145,000 ตัน มูลค่า 4,000 ล้านบาท

ส่วนสำหรับปีหน้ากระทรวงพาณิชย์ก็จะเดินหน้าทำตัวเลขส่งออกต่อไปโดยจะเน้นจัดกิจกรรมระหว่างผู้ส่งออกพบผู้นำเข้าในประเทศเช่นเดียวกันในเดือนกุมภาพันธ์แต่ครั้งหน้าจะเน้นเรื่องผลไม้สดเพราะเป็นช่วงที่ผลไม้ประเทศไทยออกมาก จะให้เชิญลูกค้าจากหลายประเทศในโลก มาซื้อผลไม้สดของเราที่จะไปทำตลาดในต่างประเทศนอกจากนั้น ผลไม้สดตลาดสำคัญก็คือ จีน จะมีการในการดำเนินงานที่จะผู้นำเข้าสามารถที่จะนำเข้าผลไม้สดไปในมณฑลต่างๆหลายมณฑลในประเทศจีนรวมทั้งตลาดอื่นๆด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป้าหมายต่อไปคือกลุ่มประเทศใด นายจุรินทร์ กล่าวว่า กลุ่มต่อไปที่เตรียมการไว้ก็คือกลุ่มตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ และยังมีอีกหลายกลุ่มที่ได้มีการเตรียมการ เช่น รัสเซียเหล่านี้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามอินเดียถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพคนรวยเยอะมาก คนรวยอินเดียมากกว่าจำนวนประชากรของไทยทั้งประเทศ แม้ว่าเขามีคนที่ยากจนมีรายได้น้อยอยู่จำนวนมากก็ตามเพราะคนของเขามีเป็น 1,000 ล้านคน เพราะฉะนั้นอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพหรือเป็นตลาดใหม่สำหรับประเทศไทยที่ต้องมีนโยบาย และจากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้นำคณะภาคเอกชนกับกระทรวงพาณิชย์ไปรอบหนึ่งแล้วที่เจนไนกับมุมไบ ผลก็ปรากฏเป็นที่น่าพอใจสามารถนำรายได้เข้าประเทศเฉพาะอินเดียคราวที่แล้วยางและผลิตภัณฑ์ยางพาราสามารถนำรายได้เข้าประเทศได้ 9,000 ล้าบาท และยังมีสินค้าตัวอื่นรวมแล้วที่อินเดีย 12,000 ล้านบาท

" เอสเอ็มอี กับ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์แปรรูปต่างๆ รวมทั้งกลุ่มเกษตรกรก็เป็นเป้าหมายหลักที่ตนต้องการมุ่งเน้นให้สามารถมีโอกาสส่งออกไปต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้นด้วย และเมื่อวานซืนที่ไปที่ตุรกีได้พาการยางแห่งประเทศไทยร่วมด้วยและสามารถขายหมอนยางพาราเฉพาะการยาง 10 ล้านใบซึ่ง 10 ล้านใบที่ว่านี้การยางก็จะนำมาแจกจ่ายให้กับสหกรณ์และ SME ต่างๆ สหกรณ์การเกษตรช่วยผลิตภายใต้การควบคุมคุณภาพของการยางแห่งประเทศไทย และส่งออกไป การจัด Bisiness Matching วันนี้เมื่อสักครู่ก็เห็นว่าหมวดข้าว หมวดยางพารา ก็มีสหกรณ์การเกษตร และกลุ่มเกษตรกร มาเปิดโต๊ะเจรจากับผู้นำเข้าต่างประเทศด้วยซึ่งหลายรายก็ประสบความสำเร็จมีตัวเลขแล้วรวมอยู่ในงาน 2,800 กว่าล้านที่เราคาดการณ์คือ จะช่วยให้กลุ่ม SME เกษตรกร สถาบันการเกษตร สามารถส่งออกได้อย่างเป็นรูปธรรมภายใต้การส่งเสริมของกระทรวงพาณิชย์" นายจุรินทร์ กล่าว

สำหรับคำถามเรื่องสงครามการค้า นายจุรินทร์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจของเราที่จะไปบังคับได้เป็นเรื่องของสหรัฐฯกับจีน ผลกระทบกระทบกระเทือนไปทั่วโลก ไม่เฉพาะประเทศไทยของเราได้รับผลกระทบมากพอสมควรเพราะฉะนั้นทางออกก็คือเราต้องบริหารจัดการการค้าและการส่งออกของประเทศใหม่ จะบริหารไปในลักษณะปกติไม่ได้แต่ต้องใช้ระบบบริหารจัดการซึ่งตนจะเร่งรัดนอกจากทำหน้าที่หัวหน้าเซลล์แมนประเทศที่จะนำคณะกระทรวงพาณิชย์และเอกชนไปเปิดตลาดในต่างประเทศแล้วยังเชิญผู้นำเข้าต่างประเทศมาพบกับผู้ส่งออกของเราในประเทศด้วย