พบแหล่ง "ค้างคาวหน้ายักษ์" แห่งสุดท้ายในไทย

2019-11-19 06:30:09

พบแหล่ง "ค้างคาวหน้ายักษ์"  แห่งสุดท้ายในไทย

Advertisement

ชาวบ้านในเขา หมู่ที่ 1 ต.ปากแจ่ม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง นำชมแหล่งอาศัยของค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ ซึ่งเป็นค้าวคาวที่ใกล้สูญพันธุ์มีอยู่กว่า 400 ตัว ชาวบ้านเชื่อเป็นแหล่งใหญ่และแหล่งสุดท้ายที่พบในประเทศ

วันที่ 18 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เขาควนเหมียงหรือถ้ำแรด บ้านในเขา หมู่ที่ 1 ต.ปากแจ่ม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ชาวบ้านสุดตื่นตาตื่นใจเมื่อพบว่า ฝูงค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ค้างคาวที่ใกล้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย มีประชากรเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่เคยมีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา มาสำรวจเมื่อปี 2545 มีอยู่ประมาณ 150 ตัวแต่เมื่อนักวิชาการกลับมาสำรวจใหม่ในปี 2562 พบว่าค้างคาวหน้ายักษ์เพิ่มมากขึ้นอีก 1 เท่าตัวหรือไม่ต่ำกว่า 400 ตัว ซึ่งค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ พบเพียง 3 ประเทศคือเวียดนาม ไทย และญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังจะสูญพันธุ์เพราะถูกรบกวนจากฝีมือของมนุษย์ เป็นสัตว์ที่กินแมลงเป็นอาหาร ช่วยรักษาระบบนิเวศน์ของป่าธรรมชาติไม่ให้มีแมลง เช่น แมงปีก แมงเม่าและแมลงซึ่งเป็นศัตรูของพืชไร่มากเกินไป ซึ่งปัจจุบันถูกประกาศเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองไปเรียบร้อยแล้ว

จากการสำรวจถ้ำบริเวณโดยรอบของเขาควนเหมียงยังพบมูลของค้าวคาวหน้ายักษ์อีก 3-4 ถ้ำ ชาวบ้านจึงเชื่อว่าในหมู่บ้านของตนมีค้าวคาวหายากสายพันธุ์นี้อยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นแหล่งใหญ่แหล่งสุดท้ายที่พบในประเทศไทย จึงช่วยกันอนุรักษ์ไว้เรื่อยมาจนพบว่ามีค้าวคาวหน้ายักษ์เพิ่มขึ้น โดยจะใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ของลูกหลานต่อไปในอนาคต ส่วนนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าไปเที่ยวชมค้างคาวหายากชนิดนี้ได้ที่ถ้ำแรด ต.ปากแจ่ม อ.ห้วยยอดหรือติดต่อผ่านทางผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.ปากแจ่มได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 084-447-5664




นายสมคิด นาเลื่อน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.ปากแจ่ม กล่าวว่า ที่ถ้ำแรดพบค้าวคาว 3-4 ชนิดแต่ที่มีมากที่สุดและเด่นที่สุดจากการสำรวจของนักวิชาการเมื่อปี 2545 คือค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ พบประมาณ 150 ตัวในปี 2545 แต่เมื่อนักวิชาการกลับมาสำรวจใหม่ในปีนี้ พบมากกว่า 300-400 ตัวและตนเชื่อว่าจากการที่ตนเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งเคยเดินสำรวจภายในถ้ำต่างๆ บริเวณใกล้เคียง พบมูลค้างคาวกินแมลงชนิดเดียวกันอีก 3-4 ถ้ำจึงเชื่อว่ามีค้างคาวหน้ายักษ์อีกเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าเป็นแหล่งสุดท้ายของไทย ซึ่งชาวบ้านทุกคนช่วยกันอนุรักษ์มาตั้งแต่ต้น เพื่อให้ลูกหลานได้ดู ส่วนใครสนใจสามารถติดต่อตนได้ทุกวัน