อธิบดีกรมศิลปากรยืนยันการบูรณะพระปรางค์วัดอรุณฯ ใช้วัสดุ ลวดลาย และสีแบบดั้งเดิม มีการสำรวจเก็บรายละเอียดอย่างครบถ้วน ถอดกระเบื้องเก่าออกเพียง 40% เท่านั้น ส่วนกรณีมีการนำชิ้นส่วนกระเบื้องไปทำของขลัง สามารถทำได้ เพราะถือเป็นสมบัติของทางวัด
เมื่อวันที่ 16 ส.ค.นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร แถลงข่าวภายหลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบูรณปฏิสังขรณ์พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารว่า ทำให้พระปรางค์มีสีขาวโพลน และลวดลายเปลี่ยนไป โดยระบุว่า พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร มีการก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 และมีการบูรณะมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งครั้งล่าสุด คือในปี 2556-2560 กรมศิลปากรตรวจพบว่า เนื้อปูนพระปรางค์เสื่อมสภาพ มีตะไคร่น้ำและสิ่งสกปรกเกาะบนพื้นผิว พบเศษชิ้นส่วนหลุดร่วง จึงได้จัดทำโครงการบูรณะพระปรางค์และมณฑปโดยมีกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี
อธิบดีกรมศิลปากร ยืนยันว่า ได้มีการสำรวจ เก็บข้อมูลก่อนดำเนินการ และหาข้อมูลเกี่ยวกับลวดลายอย่างละเอียด ก่อนจะมีการบูรณะ ซึ่งพบว่ามีกว่า 120 ลวดลาย โดยมีการเก็บสีและชิ้นส่วนไว้ทั้งหมด พร้อมใช้ปูนตำซึ่งเป็นวัสดุดั้งเดิมตั้งแต่การก่อสร้างพระปรางค์สมัยรัชกาลที่ 3 แต่มีการใช้กระเบื้องใหม่แทนกระเบื้องที่มีการชำรุด ที่มีสี ลวดลายเหมือนกับของเดิม ร้อยละ 40 หรือประมาณ 120,000 ชิ้น ยืนยันว่า การบูรณะในครั้งนี้ยังคงสีและรูปแบบลวดลายแบบดั้งเดิม เพื่อให้คงเอกลักษณ์ของศิลปกรรมและโบราณสถานที่สำคัญของประเทศไทย
ส่วนกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ว่า พระปรางค์กลายเป็นสีขาว และไม่เหมือนของเดิมนั้น ไม่เป็นความจริง สีขาวของพระปรางค์ เกิดจาการบูรณะที่ฉาบปูนตำ โดยเมื่อเทียบกับภาพถ่ายการบูรณะพระปรางค์วัดอรุณสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาล 5 จะพบว่า มีสีขาว ไม่ต่างจากการบูรณะครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้กองโบราณคดีจัดทำจดหมายเหตุการณ์บูรณะพระปรางค์วัดอรุณ เพื่อบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของชาติด้วย
สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มีการนำชิ้นส่วนกระเบื้องจากพระปรางค์ไปทำเครื่องลางของขลังนั้น อธิบดีกรมศิลปากร ระบุว่า สามารถทำได้ เนื่องจากพระปรางค์เป็นสมบัติของชาติในส่วนของสถาปัตยกรรม แต่ชิ้นส่วนต่างๆ ก็ยังถือเป็นสมบัติของวัดด้วยเช่นกัน