แม้ตายก็ต้องเฝ้าระวัง “นิหน่า” อัพเดตอาการ “แบงก์” หลังใช้ความร้อนจี้รักษามะเร็งตับ

2019-11-07 11:20:05

แม้ตายก็ต้องเฝ้าระวัง “นิหน่า” อัพเดตอาการ “แบงก์” หลังใช้ความร้อนจี้รักษามะเร็งตับ

Advertisement

กำลังใจคือสิ่งสำคัญ “นิหน่า สุฐิตา” พยุงสติพยายามไม่เครียด จับมือสามี “แบงก์ พชร” ฝ่าโรคร้าย รักษาจนมะเร็งฝ่อแต่ต้องรออาการดูต่อ

ทำเอาแฟนคลับตกอกตกใจและเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เห็นพิธีกรสาว “นิหน่า สุฐิตา ปัญญาวงศ์” โพสต์ภาพและข้อความเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งของสามี “แบงค์ พชร ปัญญาวงศ์” หลังจากตรวจพบก้อนเนื้อร้ายที่ตับ งานนี้แม้ว่าสาวนิหน่าจะออกอาการเครียดอยู่ไม่น้อย แต่เจ้าตัวก็สามารถพยุงสติและเป็นกำลังสำคัญให้กับสามีหนุ่มอยู่เรื่อยมา

(อ่านข่าว : “นิหน่า” วิ่งหาหมอระดับโลก พึ่งทุกศาสตร์ รักษาเนื้อร้ายสามี)




ล่าสุด สาวนิหน่าก็ได้ออกมาอัพเดตอาการของสามี ให้ได้ฟังว่าตอนนี้ เนื้อร้ายที่ตรวจพบนั้นได้ตายไปแล้ว จากวิธีการรักษาใช้ความร้อนจี้เฉพาะจุด แต่ทั้งนี้ก็ต้องเฝ้าดูอาการเรื่อยๆ เพราะทางแพทย์ก็ยังไม่ได้มีการยืนยันว่าหายดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาวนิหน่าก็ได้เผยรายละเอียดต่างๆ ไว้ว่า…




อัพเดตอาการสามี เป็นอย่างไรบ้าง ?

“ตอนนี้ต้องติดตามไปเรื่อยๆ ค่ะ ทุกๆ 3 เดือนจะไปตรวจ MRI อีกทีหนึ่งว่าเป็นยังไงบ้าง มีอะไรปกติดีไหม มีอะไรโผล่ขึ้นมาใหม่มั้ย หรือว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงมั้ย ประมาณนั้นค่ะ”






แสดงว่าตอนนี้หายขาดแล้ว ?

“มันก็พูดยากเนอะ ตอนนี้เท่าที่ดู MRI รอบล่าสุด ตัว 4 เซนฯ มันตายไปแล้ว ใช้วิธีความร้อน หมอเขาก็จะไม่พูดอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าหายแน่นอน เพราะสุดท้ายเราก็ต้องดูไปเรื่อยๆ อยู่ดี ว่ามันหมดไปจริงหรือเปล่า จะมีอะไรขึ้นมาใหม่ไหม ซึ่งมันก็เป็นแนวทางที่ต้องติดตามต่อไป” 

ยังมีอะไรที่ต้องกังวลไหม ?

“พอมันไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็ต้องเฝ้าระวังไปเรื่อยๆ เป็นลักษณะของการดูแลสุขภาพ ทานอาหารให้มีประโยชน์ อะไรที่ไม่ดีกับร่างกายก็ต้องงดให้หมด ออกกำลังกาย ไม่เครียดประมาณนั้น” 






ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้วิธีผ่า ?

“ไม่ได้ผ่าค่ะ คือเป็นลักษณะเอายาเข้าไปที่ก้อนโดยตรง เขาก็จะดูว่าก้อนมันเล็กลงหรือเปล่า พอเล็กลงในจุดที่สามารถใช้ความร้อนจี้ได้ก็จะจี้ ไม่ได้คีโมค่ะ ก็มีคนถามหลังไมค์มาหลายคนเหมือนกันว่า อยากจะรักษาแบบนี้ได้มั้ย นิหน่าว่าต้องแล้วแต่เคส ต้องแล้วแต่หมอมากกว่า เพราะว่าแต่ละท่านจะมีอาการไม่เหมือนกัน จุดเริ่มของโรคก็ไม่เหมือนกัน อย่างของพี่แบงค์เขาไม่ได้เป็นไวรัสตับ ไม่ได้เป็นตับแข็ง แต่อยู่ดีๆ มันก็มีก้อนเนี่ยโผล่ขึ้นมา แล้วเราตรวจร่างกายเจอ วิธีการรักษามันอาจจะต่างกันไปแต่ละคน” 

ถือว่าเจอได้เร็ว ?

“ก็ถือว่าเจอเร็ว คือเจอเร็วแต่มันก็ใหญ่เร็ว เพราะว่าระยะเวลาแค่ปีเดียวเองที่ตรวจร่างกายครั้งที่แล้ว พอตรวจร่างกายครั้งต่อมา มันขึ้นมา 4 เซนฯ อาจจะมีอัตราเร่งจากการใช้ชีวิตของเขาด้วยและอะไรหลายๆ อย่าง” 






หลังจากที่ตรวจเจอครั้งแรก ?

“ตกใจค่ะ ดูจากฟิล์มมันดูยากว่าเป็นเนื้ออะไร เพราะมันยังเป็นทรงกลม ก็ต้องปรึกษาคุณหมอหลายท่านเหมือนกัน ต้องเจาะมาดูว่าผลมันเป็นยังไง เพิ่งไปตรวจมาล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน จะไปตรวจอีกทีเดือนธันวาคม ก็จะไปเช็กอัพ 3 เดือนครั้ง ก็จะเป็น 3 เดือนครั้ง ไปประมาณปีถึงสองปี ถ้ามันนิ่งก็ต้องไป 6 เดือนครั้งหนึ่ง ห่างขึ้นเรื่อยๆ”

ตรวจเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีแล้ว ?

“ใช่ค่ะ เพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่มีอะไรขึ้นมาใหม่ในนั้น” 






อยู่ที่โรงพยาบาลนานแค่ไหน ?

“ตั้งแต่รู้เรื่องเดือนพฤษภาคม แอดมิตไป 2 คืนเองค่ะ ก็คือ 2 ครั้ง ครั้งละคืนก็ออกไม่ได้นอนโรงพยาบาลนาน”

พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปเลยไหม ?

“ตอนนี้สายคลีนค่ะ คลีนมาก เป็นสามีคนใหม่ ทานกาแฟ เพราะว่าเขามีวิจัยว่ากาแฟช่วยยับยั้ง กาแฟดำนะคะ ไม่ใส่น้ำตาล ช่วยยับยั้งเรื่องของการเกิดมะเร็งในตับได้ ก็เลยหันมาสนใจกินกาแฟ พอกินข้าวเสร็จก็จะชวนภรรยาไปคาเฟ่ เราก็มองว่าดีเหมือนกัน”





เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปด้วย ?

“ใช่ค่ะ ปกติมื้อเย็นเราจะหาอะไรกินกันไปเรื่อยเปื่อย มีอะไรก็กิน ตอนนี้จะเริ่มมื้อเย็นเป็นผัก เพราะว่าเช้า กลางวัน บางทีเราออกไปทานข้างนอก เลือกได้ไม่มาก ก็พยายามเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มื้อเย็นเรามานั่งทานผักกัน ก็ดีเราก็ผอมด้วย สามีก็ได้สุขภาพดีด้วย แล้วเขาก็จะเริ่มวิ่ง รายการไหนมีวิ่งก็จะไปวิ่ง เดินออกกำลังกายมากขึ้น ส่วนพวกเนื้อสัตว์ก็ยังทานนะคะ เอาจริงๆ คุณหมอก็ไม่ถึงขั้นต้องห้าม แต่ให้เลือกทานอาหารที่สะอาด ปรุงใหม่ อย่ากินอะไรซ้ำๆ กันบ่อยๆ”

ปาร์ตี้สังสรรค์ไม่เอาเลย ?

“เดี๋ยวนี้เขากลับบ้านเร็วกว่านิหน่าอีก บางทีเราอยู่กับเพื่อน เขาก็อยากจะกลับบ้านแล้ว พาลูกกลับก่อนนะให้เราอยู่ต่อก็ได้ ไม่มีดื่มเลย เป็น ”พชร” สายคลีน”




เหมือนได้สามีคนใหม่ ?

“ก็ดีเหมือนกัน (หัวเราะ) ตอนนี้เราพูดกันเล่นสนุกได้เนอะ พอเราเครียด เขาก็จะเครียด ถ้าเรามองสิ่งเหล่านี้มันเข้ามาหาเรา โชคดีที่เราเจอเร็ว โชคดีที่มันทำให้เขาเปลี่ยนในการใช้ชีวิต มันเป็นเรื่องที่โอเค ที่เหลือเราก็ทำใจให้โอเค สู้กับมันไป

ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรที่เกิดขึ้น เราก็อย่าเพิ่งไปกังวลกับสิ่งที่มันยังไม่เกิด ดีอีกอย่างหนึ่งตั้งแต่มีเรื่องนี้ หลายๆ คนก็ส่งข้อความมาหาเรา ว่าเขารีบไปตรวจร่างกายเลยนะ อย่างแบงค์ไม่เคยแอดมิทเลยก็ยังเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ เราก็ดีใจที่มันเป็นอุทาหรณ์ให้หลายๆ คนเขาหันมาตรวจสุขภาพทุกปี และมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น”




ในมุมของคนที่อยู่ข้างๆ คนที่เป็นโรคนี้ ต้องให้กำลังใจตัวเอง และคนข้างๆ เรายังไง ?

“พอดีมีรุ่นพี่ท่านหนึ่งเขาเตือนสติเรา เขาบอกว่าวันนี้เรารู้เท่านี้ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเท่านี้ มันไม่มีประโยชน์ที่เราจะไปคิดถึงเรื่องวันข้างหน้าว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ไหม เพราะมันอาจจะเกิดหรืออาจจะไม่เกิดก็ได้ แล้วเราจะเอาเวลาที่มีอยู่ตอนนี้ไปนั่งเครียด นั่งกังวล กับเรื่องพวกนั้นยังไง

พอคิดได้อย่างนี้เราก็จะนิ่งขึ้น พี่แบงค์เขาก็จะเห็นว่าเรานิ่งขึ้นจริงๆ ไม่ได้แกล้ง คือคนเราถ้าแกล้งไม่เครียด กับไม่เครียดจริงๆ มันดูออก แล้วพอเราไม่เครียดเขาก็จะไม่เครียด ทุกคนในครอบครัวก็ไม่เครียด เราก็ปกติ เพียงแต่จะมีคนมาถามไถ่เป็นห่วงเยอะ เขาก็จะบอกว่าโอเค ตอนนี้ทุกคนโอเค ก็รู้สึกดีที่มีคนห่วงเราเหมือนกัน ก็ต้องขอบคุณด้วยค่ะ” 





ขอบคุณรูปจากอินสตาแกรม : @ninanaka