"ไทย-มาเลย์"ให้ความสำคัญแก้ปัญหา จชต.โดยสันติวิธี

2019-11-02 20:55:04

"ไทย-มาเลย์"ให้ความสำคัญแก้ปัญหา จชต.โดยสันติวิธี

Advertisement

"ไทย-มาเลเซีย"ให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี

เมื่อเวลา 16.20 น. วันที่ 2 พ.ย. ที่ห้องแซฟไฟร์ 108 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หารือทวิภาคีกับตุน ดร. มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้น นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรียินดีกับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดในทุกมิติ และจากการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีผลการหารือที่นำไปสู่ความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรมหลายประการ พร้อมขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของไทย

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวยินดีกับความสำเร็จการเป็นประธานอาเซียนของไทย ทั้งนี้ ไทยและมาเลเซียในฐานะสมาชิกอาเซียนต่างมีพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง และร่วมสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาเซียนเป็นการรวมกลุ่มระดับภูมิภาคที่มีพัฒนาการและการเติบโตไปด้วยกัน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียที่ได้เชิญหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ไปพบปะหารือ และสนับสนุนความพยายามของไทยในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวย้ำถึงการสนับสนุนการแก้ปัญหาของไทยและเห็นพ้องว่าแบ่งแยกดินแดนจะต้องไม่เกิดขึ้นหรือแบ่งแยกได้

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเร่งเสริมสร้างความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานชายแดน พร้อมผลักดันการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าทางถนนข้าม พรมแดนได้ในเร็ววัน ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าอย่างไร้รอยต่อระหว่าง กรุงเทพฯ ถึงท่าเรือปีนัง ยะโฮร์บารู และต่อไปยังสิงคโปร์ รวมทั้ง ถนนเชื่อมด่านฯที่จะเร่งดำเนินการเพื่อก่อสร้างถนนได้ในโอกาสอันใกล้ หากทั้งสองฝ่ายเร่งหาข้อสรุปโดยนายกรัฐมนตรีหวังว่า มาเลเซียจะสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในภาคใต้ของไทย และเป็นปัจจัยสนับสนุนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของไทยในมิติด้านเศรษฐกิจอีกด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการร่วมมือแก้ปัญหาการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน และปัญหาการจัดเก็บภาษี เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ