สหรัฐตัดจีเอสพีไทย ธาตุแท้มหามิตร 200 ปี

2019-10-29 20:00:20

สหรัฐตัดจีเอสพีไทย ธาตุแท้มหามิตร 200 ปี

Advertisement

เร็วปานกามนิตหนุ่ม สหรัฐอเมริกา ประกาศตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร หรือ จีเอสพีสินค้านำเข้าจากไทยเกือบ 600 รายการ มูลค่าเกือบ 4 หมื่นล้านบาท


ที่น่าสงสัยเพราะผิดปกติ คือประกาศนี้ออกมาภายหลังคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติด้วยเสียงข้างมากให้แบนสารเคมีกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช 3 ชนิดเพียงไม่กี่วัน แต่กลับอ้างเหตุผลเพราะไทยล้มเหลวด้านจัดการสิทธิแรงงานตามหลักสากล

ทั้งที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการใช้แรงงานเด็ก หรือ แรงงานเถื่อนอย่างชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และล่าสุดเมื่อต้นปี 2562 เพิ่งได้รับธงเหลืองจากสหภาพยุโรป หรือ อียูเรื่องทำประมงผิดกฎหมายและไร้การรายงาน หรือไอยูยู

จึงนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตุว่า เป็นเพียงเหตุผลที่พยายามหยิบยกขึ้นมาอ้างเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่อง "แบนสารอันตราย 3 ตัว" เสียมากกว่า

ยิ่งเมื่อดูรายละเอียดในประกาศ ยิ่งส่อเค้าเด่นชัด เพราะระบุเงื่อนเวลาการตัดจีเอสพีจะมีผลตั้งแต่ 25 เมษายน 2563 หรือ 6 เดือนนับตั้งแต่มีประกาศ 25 ตุลาคม 2562

สะท้อนเจตน์จำนงค์ต้องการให้รัฐบาลไทยเปิดการเจรจาต่อรอง โดยมีเงื่อนไขที่คาดหมายว่าสหรัฐได้กำหนดเอาไว้แล้ว ซึ่งในจำนวนนี้ ย่อมต้องมีให้ทบทวนการแบน 3 สารพิษอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ ยังน่าจะพ่วงเรื่องความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจคู่แข่งของสหรัฐทั้งในด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซี่ยน

นี่เป็นแนวทางของสหรัฐ ที่นานาประเทศมองอย่างทะลุปรุโปร่ง เนื่องจากชอบนำไปใช้กับทุกประเทศ ยิ่งเป็นประทศเล็ก หรืออำนาจต่อรองน้อย สหรัฐยิ่งชอบจะกดดัน

อย่างเช่นที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสต์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย หนึ่งในกรรมาธิการต้านสารพิษ ของสภาผู้แทนราษฎร และเป็นหนึ่งในสองคนที่ถูกขูฆ่าเนื่องจากต่อต้านสารพิษ 3 ชนิด ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์เดือนเมษายน 2562 หลังจากรัฐบาลเวียดนาม "แบน" สารพิษไกลโฟเซท รัฐมนตรีเกษตรของสหรัฐได่ออกโรงวิพากษ์ทันทีว่า จะส่งผลรุนแรงต่อภาคการเกษตรทั่วโลก ซึ่งไม่ต่างจากวิธีการที่พยายามใช้กับประเทศไทยในขณะนี้

เช่นเดียวกับ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ที่ออกโรงระบุว่า วิธีการที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรสหรัฐ และผู้แทนการค้าสหรัฐ ใช้คัดค้านรัฐบาลไทย กรณี "แบน" 3 สารพิษครั้งนี้ ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อ 30 ปีก่อน ที่สหรัฐกดดันพยายามแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบของไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลก แต่ไม่สำเร็จ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัองขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งและนโยบายที่แน่วแน่ของรัฐบาลไทยว่าจะมีมากแค่ไหน หรือจะยอมศิโรราบ กับคำขู่ของประเทศมหามิตร 200 ปี ที่ทำตัวเป็นตำรวจโลกไม่ยอมเลิก (ประเทศไทยเมื่อยังเป็นประเทศสยามและสหรัฐเริ่มติดต่อกันอย่างเป็นทางการกันครั้งแรกปี พ.ศ.2361)


ความจริง แนวทางของสหรัฐในช่วงหลังๆ มานี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องในเชิงลบ เรื่องพยายามเข้าไปแทรกแซงประเทศอื่น โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์เป็นสำคัญ แต่หากไม่ได้ก็จะลดบทบาทไม่สนใจไยดี กระทั่งถูกมหามิตรเลิกคบหลายประเทศ ล่าสุดคือการถอนทหารจากชายแดนซีเรีย-ตุรกีของสหรัฐ เสมือนเปิดทางให้กองทัพตุรกีบุกเข้าถล่มชาวเคิร์ด ซึ่งเป็นกลุ่มกำลังหลักที่เคยเป็นมิตรและช่วยเหลือสหรัฐในการทำสงครามกวาดล้างกลุ่มไอเอสในตะวันออกกลาง

ย้อนกลับมาประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าและใช้สารไกลโฟเซทและสารเคมีอื่นด้วยมูลค่ามหาศาลมาตลอดนั้น มีแผนภูมิโครงสร้าง สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์และบทบาทที่ทับซ้อนเหนียวแน่นของฝ่ายการเมืองในรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ กับกลุ่มบริษัทมอนซานโต้เจ้าของผลิตภัณฑ์ไกลโฟเซทและพืชจีเอ็ม ราวนด์อัพ เรดดี้ โดยบอร์ดของมอนซานโตเคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทำเนียบขาว สหรัฐ และยังมีผู้บริหารที่มีตำแหน่งเชื่อมไขว้กันไปมา

เรื่องความพยายามแทรกแซงรัฐบาลไทย กรณีแบนสารพิษ และการประกาศตัดจีเอสพีของสหรัฐ สะท้อนให้เห็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ของบรรษัทข้ามชาติ ที่มีอิทธิพลบารมีถึงขั้นมีนักการเมืองระดับ "บิ๊ก" ยอมเปิดหน้าหาทางช่วยอย่างเปิดเผย โดยไม่แยแสว่าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาท ขาดคุณธรรมและไม่สนเรื่องสิทธิมนุษยชนทั้งที่เป็นเรื่องที่ชาวโลกให้การยอมรับ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าจับตาอย่างยิ่ง

ผู้นำไทย รัฐบาลไทย อาจเป็นเพียงแค่ "คนตัวเล็ก" หากเทียบกับผู้นำและประเทศมหาอำนาจ แต่การตัดสินใจบนทางเลือกที่เต็มไปด้วนการเจรจาต่อรองและมีผลประโยชน์มหึมาแถมพ่วงท้ายต่างหาก ที่จะใหญ่ยิ่งกว่า และชาวโลกจะได้เขียนตำนานประวัติศาสตร์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาชื่นชม

เอาไงดีครับลุงตู่ กับแรงกดดันแกมบังคับฝุดๆ จากมหามิตร 200 ปี