“หมวดเจี๊ยบ” เตือนรัฐบาลอย่าประเมินสหรัฐฯตัดจีเอสพีต่ำเกินไป

2019-10-28 12:55:19

“หมวดเจี๊ยบ” เตือนรัฐบาลอย่าประเมินสหรัฐฯตัดจีเอสพีต่ำเกินไป

Advertisement

“หมวดเจี๊ยบ” เตือนรัฐบาลอย่าประเมินความเสียหายสหรัฐตัดจีเอสพีไทยต่ำเกินไป ระบุจะดูแค่ตัวเลขภาษี 1,500 -1,600 ล้านบาทที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายไม่ได้ แต่ต้องคำนวณค่าเสียโอกาสของสินค้าไทยในการแข่งขันทางการค้าอาจมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท

จากกรณีสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐประกาศว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี)กับสินค้าไทยคิดเป็นมูลราคา 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉียด 40,000 ล้านบาท โดยสินค้าที่อยู่ในรายการที่จะถูกตัดสิทธิ์จีเอสพีตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย. 2563 มีมากถึง 573 รายการ โดยอ้างว่าไทยล้มเหลวในการจัดการสิทธิที่เหมาะสมให้กับแรงงานตามหลักสากลนั้น

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรประเมินความเสียหายจากการที่สหรัฐตัดจีเอสพีไทยต่ำเกินไป เพราะการคำนวณความเสียหายเรื่องนี้จะดูแค่ตัวเลขภาษี 1,500 -1,600 ล้านบาท ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเท่านั้น แต่ต้องคำนวณค่าเสียโอกาสจากการที่สินค้าไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้าด้วย ซึ่งรวม ๆ แล้ว อาจจะมากกว่า 40,000 ล้านบาทด้วยซ้ำ และในการเจรจากับสหรัฐเพื่ออุทธรณ์เรื่องนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็ควรดูโมเดลที่ประเทศอื่นใช้แก้ปัญหา โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเขาใช้วิธีชี้ให้สหรัฐเห็นข้อเสียที่จะเกิดกับผลประโยชน์ของสหรัฐเองจากการตัดจีเอสพี ประเทศกำลังพัฒนา เพราะจะทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันซื้อของในราคาแพงขึ้น และจะทำให้ต้นทุนการผลิตของสินค้าสหรัฐสูงขึ้นด้วย เพราะในอดีตผู้ประกอบการสหรัฐ ก็ได้ประโยชน์จากการซื้อวัตถุดิบราคาถูกจากประเทศที่ได้สิทธิ์จีเอสพีเช่นกัน ที่สำคัญจะทำให้ผู้ประกอบการจีนได้ประโยชน์ เพราะสามารถแข่งขันด้านราคาได้กับคู่แข่งที่เคยขายสินค้าราคาถูกกว่าเพราะถูกตัดจีเอสพีและจีนจะได้ส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น ซึ่งก็จะสวนทางกับนโยบายของสหรัฐเองที่ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับจีน นอกจากนี้ อินเดียยังเพิ่มกำแพงภาษีเพื่อตอบโต้สหรัฐด้วย ซึ่งถ้ารัฐบาลประยุทธ์สามารถชี้ให้สหรัฐเห็นข้อเสียที่จะเกิดขึ้นต่อผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเอง ก็อาจทำให้สหรัฐมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงได้ โดยที่ไทยไม่ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติด้านอื่น ๆ ไปแลก ซึ่งนี่คือท่าทีที่ถูกต้องในการเจรจาต่อรองทางการค้าที่รัฐบาลประยุทธ์ควรดูเป็นตัวอย่าง อย่าใช้อารมณ์ตัดสินโดยใช้ถ้อยคำรุนแรง เพราะนอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังจะเป็นการสร้างเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคในการเจรจา ทั้งยังอาจลุกลามไปส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ระหว่างไทยและสหรัฐด้วย

ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ มันก็ย้อนแย้งกับท่าทีของรัฐบาลประยุทธ์เอง ที่กำลังจะยื่นอุทธรณ์ขอความเห็นใจจากสหรัฐ แต่กลับไปต่อว่าเขานิสัยไม่ดี ซึ่งอันที่จริง หากรัฐบาลประยุทธ์ไม่แคร์สหรัฐก็อย่าไปแบมือขอจีเอสพีจากเขา แต่ถ้าหากยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่ ก็ต้องระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้ แต่ทางที่ดี รัฐบาลควรพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาจีเอสพี และต้องเปิดตลาดการค้ากับประเทศใหม่ ๆ บ้าง จะได้ไม่ถูกต่างชาติใช้เรื่องนี้มาบีบหรือข่มเหง เพราะในอนาคต สหรัฐอาจล้มเลิกการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านโครงการจีเอสพี เพราะมีแรงกดดันจากการเมืองภายในสหรัฐเช่นกันให้ยุติการให้จีเอสพีต่างชาติเสียที และที่สำคัญ อยากถามรัฐบาลประยุทธ์ว่าเตรียมรับมือแล้วหรือยัง กับการถูกตัดจีเอสพีระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น เพราะขณะนี้ยังมีประเด็นที่สมาพันธ์ผู้ค้าสุกรสหรัฐร้องทุกข์ไปยังสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐว่าถูกไทยกีดกันการนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องใน ซึ่งหากรัฐบาลประยุทธ์ไม่มีแผนรองรับในการแก้ปัญหา ก็จะยิ่งซ้ำเติมผู้ส่งออกไทยที่ประสบปัญหาค่าเงินบาทแข็งทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงกว่าคู่แข่งอยู่แล้ว หากโดนตัดจีเอสพีเพิ่มอีก ก็จะยิ่งทำให้มีต้นทุนสูงขึ้นและแข่งขันยากขึ้นอีก และจะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยติดลบหนักกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของจีดีพีที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งขณะนี้ ความผิดพลาดของรัฐบาลประยุทธ์ ได้ส่งผลให้ไทยเสียประโยชน์ทางการค้าไปแล้ว 40,000 ล้านบาท แต่ยังเหลือผลประโยชน์ทางการค้าของไทยที่มีกับสหรัฐอีก ราว 900,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลประยุทธ์ ต้องใช้สติปัญญาในการปกป้อง หากท่านคิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรลาออกไป แล้วหลีกทางให้แคนดิเดตนายกฯท่านอื่นเข้ามาแก้ปีญหาแทนโดยด่วน

รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เพื่อลดอุปสรรคในการเจรจาบนเวทีการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลประยุทธ์ก็ต้องระมัดระวังท่าทีในการมีความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจ ที่เขากำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ด้วย อย่าทำตัวเป็นลูกไล่หรือเป็นลูกน้องของชาติมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ เพราะไทยต้องเป็นมิตรกับทุกประเทศ อย่าเอาคนไทยไปยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของชาติอื่น เพราะคนไทยมีนิสัยรักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด และ รัฐบาลประยุทธ์ ควรย้อนดูว่าบรรพบุรุษของไทยในอดีตดำเนินกุศโลบายทางการทูตอย่างไรจึงพาบ้านเมืองพ้นภัยไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด ท่ามกลางความแย้งที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกส่วนรัฐบาล ประยุทธ์ นั้น ก็อย่าเก่งแต่เฉพาะบดขยี้ฝ่ายค้านในบ้าน แต่กลับเอาตัวไม่รอดบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ที่สำคัญ รัฐบาลประยุทธ์ควรบอกคนไทยให้ชัดเจนว่า ผลกระทบจากการโดนสหรัฐตัดจีเอสพี จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขจีดีพี และเป้าหมายการส่งออกที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างไร เพื่อให้นักลงทุนและประชาชนรู้ตัวล่วงหน้าจะได้ปรับตัวและวางแผนชีวิตได้ทัน