“จุรินทร์” ยันรัฐบาลดูแลเศรษฐกิจฐานรากครบวงจร

2019-10-18 14:00:18

“จุรินทร์” ยันรัฐบาลดูแลเศรษฐกิจฐานรากครบวงจร

Advertisement

“จุรินทร์” ลุกแจงข้อห่วงใยของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ยันรัฐบาลดูแลเศรษฐกิจฐานรากครบวงจร

เมื่อวันที่ 18 ต.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงข้ออภิปรายจาก ส.ส.ฝ่ายค้านเกี่ยวกับงบประมาณและโครงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากว่า มี2 ประเด็น ประเด็นหลักคือสินค้าเกษตร และการส่งออก รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะสินค้าเกษตรคือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก หนึ่งในนโยบายเร่งด่วน คือนโยบายประกันรายได้เกษตรกร มี 5 สินค้า คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม ข้าวโพด และยังให้ความสำคัญกับพืชเกษตรอื่นๆ แต่ใช้ยาคนละขนาน ย้ำว่าการประกันรายได้เกษตรกรไม่ใช่การประกันราคา เนื่องจากขัดกับหลักการขององค์การการค้าโลก และจะขัดกับหลักการอุปสงค์ อุปทาน กลไกทางการตลาด รัฐบาลไม่สามารถกำหนดราคาได้ รัฐบาลนี้ไม่มีนโยบายประกันราคา แต่มีการประกันรายได้ว่าแม้ราคาจะตกต่ำ เกษตรกรจะได้รับหลักประกันทางรายได้ ให้เพียงพอต่อการดำรงขีพ

นายจุรินทร์ อธิบายว่า เกษตรกรมีรายได้ 2 ทาง หนึ่ง คือรายได้จากการขายพืชผลเกษตรตามราคาตลาด ณ เวลานั้น และมีแหล่งรายได้ที่สอง คือเงินส่วนต่างซึ่งคือส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาตลาดอ้างอิง และรัฐบาลจะโอนเงินส่วนต่างนี้เข้าบัญชีธนาคาร ธ.ก.ส. ของเกษตรกรโดยตรง ไม่มีการตกหล่นระหว่างทาง ซึ่งจะเป็นเงินอีกก้อนที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ราคาสินค้าตกต่ำ และบัดนี้นโยบายประกันรายได้เกษตรกรมีความคืบหน้าเป็นลำดับ

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า การประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน ประกัน กก.ละ 4 บาท งบประมาณ 14,000 ล้านบาท และได้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรและเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562 สูงสุดถึงครัวเรือนละ 12,000 บาท และจะมีการโอนปีละ 8 งวด ทุกๆ 45 วัน งวดต่อไปคือ 15 พ.ย. 2562 และยังมีมาตรการเสริมอื่นๆอีก เพื่อกระตุ้นราคาปาล์มให้สูงขึ้น เพื่อสร้างรายได้ และลดภาระงบประมาณของรัฐบาลด้วย และถ้าราคาตลาดสูงกว่าราคาประกัน เกษตรกรจะได้รายได้เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่มีภาระต่องบประมาณ โดยรัฐบาลส่งเสริมการใข้ B10 และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตนำปาล์มไปผลิตไฟฟ้า ตั้งเป้า 1,300,000 ตัน สำรองไว้ 1 ล้านตัน และให้ติดมิเตอร์ที่ถึงน้ำมัน เพื่อวัดสต๊อกน้ำมันของประเทศเป็นจริงที่สุด และตั้งคณะทำงานปราบปรามการลักลอบการนำเข้าน้ำมันปาล์มเถื่อน ทั้งหมดนี้ คือนโยบายปาล์มยั่งยืน

นายจุรินทร์กล่าวว่า การประกันราคาข้าว ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน ตัวเลขทั้งหมดมาจากการประชุม 3 ฝ่ายตอนนี้ได้โอนเงินส่วนต่างให้ชาวนาเรียบร้อยแล้ว และจะโอนเงินทุก 15 วัน จนกระทั่งหมดเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้ ตามเวลาการเก็บเกี่ยวที่เกษตรกรแจ้งไว้ สำหรับเกษตรกรภาคใต้ ที่ไม่ได้รับเงินส่วนต่างเมื่อวันที่ 15 ต.ค. แต่ตอนนี้ ธ.ก.ส.ได้โอนแล้ว 2,473 รายแล้ว เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ทั้งนี้ ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเหนียว ไม่ได้รับเงินส่วนต่างเพราะราคาตลาดสูงกว่าราคาประกันแล้ว จึงไม่ได้รับการชดเชยส่วนต่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อชาวนา เพราะชาวนาจะได้รับรายได้สูงกว่ารายได้ประกันเสียอีก ซึ่งเมื่อไหร่ราคาข้าวหอมต่ำกว่าราคาอ้างอิง ชาวนาก็จะได้รับเงินชดเชยส่วนต่างแน่นอน สำหรับชาวนาที่ปลูกข้าวบนที่ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในตลาดโลกที่จะรับซื้อเฉพาะพืชผลที่ปลูกบนที่ที่มีกรรมสิทธิ์ ชาวนาประเภทนี้จะได้รับเงินชดเชย แต่ขอให้ไปขึ้นทะเบียนตามความเป็นจริง ชาวนาที่ประสบกับน้ำท่วมจะได้เงินชดเชยด้วย เพราะถือว่าได้ปลูกข้าวจริง รัฐบาลยังดูแลชาวนาผู้ปลูกข้างจริงทุกคน

ยางพารา มีการตั้งงบไว้แล้ว 24,000 ล้าบาท ครม.เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2562 และประกันยาง 3 ชนิด ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) 57 บาท/กิโลกรัม ยางก้อนถ้วย (DRC 50%)23 บาท/กิโลกรัมครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ จะโอนส่วนต่าง 1-15 พ.ย.2562 ใช้เวลา 15 วัน เนื่องจากต้องมีการตรวจสวน โดยการโอนต้องเสร็จภายในวันที่ 15 พ.ย.2562 ซึ่งตอนนี้ยังสามารถขึ้นทะเบียนได้ ขอให้ขึ้นทะเบียนตามความเป็นจริง คนกรีดยางก็ได้ ตามสัดส่วน 60 /40 กับเจ้าของสวน

มันสำปะหลัง มีการนัดประชุม 3 ฝ่าย ที่ จ.อุดรธานี วันที่ 27 ต.ค. 2562 ประชุมข้าวโพด ที่เพชรบูรณ์ ต้นเดือน พ.ย. นี้ และจะนำเรื่องเข้า ครม.ตามกระบวนการเหมือนสินค้าเกษตรอื่นต่อไป

ส่วน ผลไม้ รัฐบาลดูแลอย่างดี ทุเรียน ลำไย มีความต้องการสูง ผมได้สั่งการให้มีการประกาศราคาลำไยตอนเช้าเพิ่มช่วยให้เกษตรกรทราบว่าจะตัดหรือไม่ มังคุด ลองกอง อาจจะไม่ดีเลิศ แต่สถานการณ์เป็นไปด้วยดี อนุญาตให้หิ้วขึ้นเครื่องบินได้ฟรี 20 กก. ในสายการบิน นกแอร์ แอร์เอเชีย ไทยสไมล์ และ บางกอก แอร์เวย์ และไปรษณีย์ไทยช่วยดำเนินการระบายผลไม้ได้อย่างดี มะพร้าว ราคาสูงขึ้น ราคาลูกละ 15 บาท และผมจะนำทัพไปเปิดตลาดผลไม้ที่จีนด้วย

สำหรับการส่งออก 10 เดือนแรกติดลบร้อยละ 2.5 เกิดจากภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้ง Brexit ทำให้หลายประเทศส่งออกติดลบ จีน 0.5 เกาหลี 9.8 สิงคโปร์ 5.7 อินโดนีเซีย 8.0 มาเลเซีย 4.3 ยกเว้น CLMV ที่ยังบวก ทำให้หลายประเทศต้องส่งเสริมการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ ไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาตัวเลขการส่งออก การเจรจา RCEP จึงเกิดขึ้น และจะมีการสรุปเร็วๆนี้ 31 ต.ค.-4 พ.ย. เราจะพยายามผลักดันให้สรุปให้ได้ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดที่มีประชากรมากกว่าครึ่ง และ GDP มากกว่าร้อยละ 30 ของโลกได้ เราจะเริ่มเจรจากับ EU ด้วย ซึ่ง EU พร้อมจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับไทยในทุกมิติ และเราจะไม่ทิ้งอังกฤษ จะมี FTA THAI-UK THAI-Turkey ผมตระหนักดีว่าสถานการณ์ส่งออกไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ เราจึงตั้ง กรอ.พาณิชย์ เพื่อประสานความร่วมมือ โดยให้เอกชนเป็นพระเอก เป็นทัพหน้า ภาครัฐเป็นทัพหนุน เพื่อจับคู่ผู้ส่งออก นำเข้า บัดนี้มีการตั้งวอร์รูม รายสินค้าและบริการ และมีความคืบหน้าไปมากแล้ว

ทูตพาณิชย์ จะต้องไม่เหมือนเดิม จะไม่ทำหน้าที่เฉพาะส่งเสริมการขาย หรือเจรจาทางการค้า แต่ต้องไปเป็นพนักงานขายด้วยตัวเอง เชิญทูตพาณิชย์ทั่วโลกมาดูกระบวนการผลิตสินค้าจริงๆ เพื่อให้มีข้อมูลในการขายสินค้า โดยเฉพาะ สินค้า ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม รวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรม ผมก็เป็นพนักงานขายด้วย ผมนำทัพไปขายสินค้าได้หลายประเทศแล้ว ที่ หนานหนิง ช่วยขายมันสำปะหลัง 2.6 ล้านตันลอตเดียว 18,000 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มขายได้อีก เพราะจีนต้องการนำไปทำพลังงาน และได้เจรจากับเลขาพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อจัดเทศกาลผลไม้ไทย เอามะม่วง ลำไย มะขาม และพืชดาวรุ่ง คือ มะพร้าวน้ำหอม ที่คนจีนต่างชื่นชอบ ซึ่งจะช่วยให้ราคาสูงขึ้น และนำยางพาราไปขายที่อินเดีย รวม 9,000 ล้านบาท และจะเชิญมา ซื้อสินค้าเกษตรไทยมากมาย ไม้ยางพารา จะนำสมาคมไปขายไม้ยาง เพื่อนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ ทดแทนไม้สัก มั่นใจว่าจะบุกตลาดอินเดียได้แน่ และจะนำทัพไปตุรกีและเยอรมนี เพื่อขายยางพาราและมันสำปะหลังในเดือน พ.ย.ด้วย

การขายข้าวกับอิรัก ซึ่งไทยได้เสียตลาดนี้ไป เนื่องจากเอกชนของเรารายหนึ่งที่ส่งข้าวคุณภาพต่ำไปให้อิรัก โกรธมากซึ่งได้คลี่คลายปัญหานี้ได้ มอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เดินทางไปอิรัก จนอิรักยอม ทำ MOU กับไทย เพื่อรับซื้อข้าว โดยขอให้กระทรวงพาณิชย์รับรองคุณภาพ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ด้านการค้าชายแดน เอกชนมีอุปสรรคมากมาย จึงได้แก้หลายข้อ ทั้งที่สะเดา มุกดาหาร และแม่สอด และได้ยืนยันแล้วว่าสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เปิดได้แล้ววันที่ 30 ต.ค. จะช่วยส่งเสริมการส่งออกไปพม่า ถึงอินเดีย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาชี้แจงสมาชิกเพื่อให้ทราบว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก รายได้เกษตรกร และการส่งออกเป็นอย่างมาก