สหภาพยุโรป หรือ อียู ต้องการสานต่อการเจรจา ข้อตกลงการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ กับไทย หลังการเจรจาการค้าถูกระงับลง จากการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพไทย เมื่อปี พ.ศ. 2557
แถลงการณ์ของคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป หรือ ซีอียู (Council of the European Union) เมื่อคืนวันจันทร์ ระบุว่า ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งทั่วไป ในเดือน มี.ค. 2562 และกลุ่มพรรคการเมืองที่สนับสนุนกองทัพได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นอันสิ้นสุดการปกครองของรัฐบาลทหารนาน 5 ปีอย่างเป็นทางการ และขณะนี้ถึงเวลาอันสมควร ที่อียูจะขยายความเกี่ยวพันกับประเทศไทย
แถลงการณ์ฯ กล่าวอีกว่า ความเกี่ยวพันกับไทยจะรวมถึง การเตรียมลงนามในข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ หรือ พีซีเอ (Partnership and Co-operation Agreement) ที่มีเป้าหมายกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองกับไทย ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น รวมทั้งสานต่อการเจรจาการค้ากับไทย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซีอียูได้ย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินการ เพื่อไปสู่การสานต่อการเจรจา ข้อตกลงการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ ที่ยากลำบากและครอบคลุม
จากข้อมูลของคณะกรรมาธิการยุโรป หรือ อีซี (European Comission) ในปี พ.ศ. 2561 มูลค่าการค้าระหว่างอียูกับไทย อยู่ที่ประมาณ 38,000 ล้านยูโร หรือ 1,272,420 ล้านบาท อียูเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่สุดอันดับ 3 ของโทย โดยไทยขายสินค้าและบริการให้อียู ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่ง รวมมูลค่า 22,900 ล้านยูโร หรือ 766,801 ล้านบาท
อียูประกาศทบทวนความสัมพันธ์กับไทย รวมทั้งระงับการลงนาม พีซีเอ และ เอฟทีเอ หลังจากคณะทหารกองทัพไทยก่อรัฐประการ โค่นอำนาจรัฐบาลพลเรือนในปี 2557 และอียูกลับมาติดต่อทางการเมือง กับไทยใหม่อีกครั้ง ในปี 2560.