สื่อท้องถิ่นรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เตรียมประกาศห้ามสวมหน้ากากในการชุมนุมในที่สาธารณะ เจ้าหน้าที่มีแผนการใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินที่เคยใช้ในยุคอาณานิคม เพื่อกำหนดใช้มาตรการดังกล่าว ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสลายการประท้วงต่อต้านรัฐบาล โดยกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเรียกว่า กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Regulations Ordinance) ไม่ได้ใช้มานาน 50 ปีแล้ว
การประท้วงในฮ่องกง เริ่มปะทุในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ชนวนเหตุมาจากการชุมนุมคัดค้านร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งจะอนุญาตให้มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาไปดำเนินการในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยกลุ่มผู้ประท้วงกลัวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจบ่อนทำลายความเป็นอิสระในกระบวนการยุติธรรมของฮ่องกง และทำให้ผู้มีความเห็นต่างตกอยู่ในอันตราย
สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ทีวีบี รายงานว่า คำสั่งห้ามสวมหน้ากากคาดว่าจะมีการประกาศใช้ในวันศุกร์นี้ หลังการประชุมของสภาบริหารฮ่องกง ซึ่งจะมีการประกาศใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินอีกหลายฉบับด้วย
สำหรับกฎหมายฉบับนี้ จะอนุญาตให้นางแคร์รี แลม หัวหน้าคณะผู้บริหารฮ่องกง มีอำนาจในการออกกฎหมายอะไรก็ตามที่เธอพิจารณาแล้วเห็นว่าส่งผลดีต่อผลประโยชน์ของประชาชน ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือเป็นอันตรายต่อสาธารณะ
นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งถูกใช้ครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2510 เพื่อช่วยยุติการจลาจลรุนแรงในฮ่องกง ยังจะทำให้รัฐบาลมีอำนาจมากขึ้นในการทำการจับกุม, ตรวจสอบสื่อและตรวจค้นสถานที่ต่าง ๆ
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ การประท้วงรุนแรงมากขึ้น นักข่าวสาวชาวอินโดนีเซียคนหนึ่ง ดวงตาด้านขวาบอดถาวร จากการถูกยิงด้วยกระสุนยาง ที่ระบุว่าถูกยิงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และในวันอังคาร ผู้ประท้วงวัยรุ่นชายอายุ 18 ปี ได้รับบาดเจ็บเมื่อตำรวจใช้กระสุนจริงยิงเข้าหน้าอก แต่กลุ่มผู้ประท้วงมักสวมหน้ากากเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่จดจำใบหน้า และถูกจับกุมตัว
การประท้วงที่ยืดเยื้อมา 4 เดือน มีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้วมากกว่า 100 คน ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาประมาณ 1,400 ลูก, กระสุนยาง 900 ลูก และกระสุนจริง 6 ลูก ส่วนผู้ประท้วงขว้างระเบิดเพลิงและวัตถุต่าง ๆ เข้าใส่ตำรวจ
ตำรวจฮ่องกงยังเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้เคอร์ฟิวด้วย เพื่อช่วยควบคุมความรุนแรงไม่ให้บานปลายไปมากกว่านี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ประท้วง เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ