มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 132 คน ระหว่างวันอังคารถึงวันพุธ ที่ผ่านมา (1-2 ต.ค.) จากการปะทะกันครั้งใหม่ ในหลายเมืองทั่วอิรัก ระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคง นับเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจของประชาชนครั้งใหญ่สุด ต่อรัฐบาลอายุ 1 ปีของนายกรัฐมนตรีอาเดล อับดุล มาห์ดี
การประท้วงซึ่งเริ่มปะทุขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 1 ต.ค. จากความไม่พอใจของประชาชน ที่มีต่อปัญหาภาวะว่างงาน การทุจริตคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ และระบบบริการสาธารณะย่ำแย่ ได้ขยายตัวลุกลามไปทั่วประเทศ ประชาชนที่ออกมาร่วมการเดินขบวนตามท้องถนนในเมืองต่างๆ ร้องตะโกนคำขวัญ “รัฐบาลจงพินาศ” ซึ่งเป็นคำฮิตในช่วงเกิดกระแสลุกฮือขับไล่รัฐบาลทุจริตในกลุ่มประเทศอาหรับ ที่เรียกกันว่า “อาหรับ สปริง” เมื่อปี พ.ศ. 2554
ตำรวจและทหารอิรักยิงปืนกระสุนจริง และกระสุนแก๊สน้ำตา เพื่อสลายการชุมนุมประท้วงในเมืองหลวงกรุงแบกแดด ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงปิดกั้นขวางการสัญจร บนทางหลวงสายหลัก ที่เชื่อมต่อกรุงแบกแดดกับหลายจังหวัดทางภาคเหนือ
ที่เมืองนาสซิริยาห์ ทางภาคใต้ กลุ่มผู้ประท้วงใช้ปืนยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ทำให้ทางการต้องส่งทหารหน่วยคอมมานโดต่อต้านการก่อการร้ายออกปฏิบัติการ หลังจากตำรวจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วนที่เมืองบาสรา แหล่งน้ำมัน การชุมนุมประท้วงของประชาชนหลายพันคนเป็นไปด้วยความสงบ เช่นเดียวกับที่เมืองซามาวา
ทางด้านโฆษกกระทรวงมหาดไทยอิรัก เผยว่า เด็กคนหนึ่งเสียชีวิตเมื่อวันพุธ เมื่อผู้ประท้วงขว้างขวดระเบิดเพลิง ใส่รถโดยสารพลเรือน ขณะกำลังแล่นบนถนนในกรุงแบกแดด.