“ไพบูลย์” สมัครสมาชิก พปชร.เรียบร้อย เตรียมเข้าประชุมพรรคครั้งแรก 10 ก.ย. ยื่นประธานสภาฯ แก้ทะเบียน ส.ส.เพิ่มอีก 1 เสียงในสภาฯ ยัน ใช้กฎหมายปิดปากเฉพาะคนที่พาดพิงรุนแรงเท่านั้น
เมื่อเวลา 11.20น. วันที่ 9 ก.ย. ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ไปยื่นเอกสารเพื่อแสดงเจตนาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ต่อนายทะเบียนพรรค พร้อมกับชำระค่าสมัครสมาชิกพรรคแบบตลอดชีพ 2,000 บาท โดยได้รับใบเสร็จรับเงินจากทางพรรค และมีชื่อในทะเบียนของพรรคแล้ว ทำให้มีผลเป็นสมาชิกพรรคโดยสมบูรณ์แล้ว นอกจากนี้ตนได้ยื่นหนังสือต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงพรรคที่สังกัดด้วย โดยได้ยื่นเอกสารประกอบต่อประธานสภาฯจำนวน 4 รายการ ได้แก่ 1.สำเนาประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง พรรคประชาชนปฏิรูป สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา 2.สำเนาหนังสือรับรองการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ 3.สำเนาใบเสร็จรับเงินค่าสมัครสมาชิกพรรคพลังประชา และ 4.สำเนาใบสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า การยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการแก้ไขข้อมูลในทะเบียนส.ส.เปลี่ยนเป็นสังกัดพรรคพลังประชารัฐ และเปลี่ยนแปลงเพิ่มจำนวนส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐจากเดิม 116 คน มาเป็น 117 คน เพื่อประโยชน์ในการคำนวณสัดส่วนส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐในสภาผู้แทนราษฎรต่อไปในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ตนจะเดินทางเข้ามาประชุมพรรคพลังประชารัฐครั้งแรก ในเวลา 15.00น. และในวันที่ 18 ก.ย.ก็จะร่วมอภิปรายในนามส.ส.พรรคพลังประชารัฐด้วย เนื่องจากได้ดำเนินการตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีทั้งนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ เตรียมยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบ จะมีผลให้สภาผู้แทนราษฎรชะลอการเปลี่ยนทะเบียนจำนวนส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีผล เพราะการดำเนินการของพรรคประชาชนปฏิรูปได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยสมบูรณ์แล้ว ส่วนการดำเนินการของนายเรืองไกรและนายศรีสุวรรณ เป็นคนละขั้นตอนไม่เกี่ยวข้องกัน จึงคิดว่าจะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมามีการฟ้องร้องกับบุคคลที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคประชาชนปฏิรูป จะเข้าข่ายการเป็นใช้กฎหมายปิดปากหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ถ้าส่วนตัวจะใช้กฎหมายปิดปากจริง คงจะต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกับทุกคนที่แสดงความคิดเห็น แต่ที่ผ่านมาเห็นว่ามีหลายคนที่แสดงความคิดเห็นนอกกรอบของกฎหมายจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน ส่วนบุคคลอื่นที่แสดงความคิดเห็นในกรอบของกฎหมายหรือการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ตนเองก็ไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้องเพราะเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิ เสรีภาพตามกฎหมาย
ต่อข้อถามว่า การที่เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จะทำให้ขัดกับเจตนารมณ์ของประชาชนที่ลงคะแนนให้กับพรรคประชาชนปฏิรูปหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าคนที่เลือกและลงคะแนนให้กับพรรคประชาชนปฏิรูปส่วนใหญ่ จะเห็นด้วยกับการดำเนินการของตน เพราะเป็นการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ขณะที่ คนที่ไม่เห็นด้วยกับตนน่าจะเป็นคนที่ไม่ได้ลงคะแนนให้กับพรรคประชาชนปฏิรูป