ดีเอสไอพบกระดูก “บิลลี่” ถูกเผาในถังทิ้งน้ำ

2019-09-03 17:35:09

ดีเอสไอพบกระดูก “บิลลี่” ถูกเผาในถังทิ้งน้ำ

Advertisement

ดีเอสไอแถลงพบชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะของ “บิลลี่” ที่หายตัวไปกว่า 5 ปี มีรอยแตกร้าวถูกเผาอยู่ในถังน้ำมัน งมเจอบริเวณสะพานแขวน หลังที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ผลตรวจดีเอ็นเอตรงกับมารดาของบิลลี่ สรูปถูกฆาตกรรมเสียชีวิต เร่งสอบสวนดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง 

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมคณะร่วมกันแถลงความคืบหน้าการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำประชาชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย สรุปว่า นายพอละจี ได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในระหว่างนำน้ำผึ้งออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 โดยเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวอ้างว่าได้ปล่อยตัว นายพอละจีพร้อมรถจักรยานยนต์และน้ำผึ้งของกลางโดยไม่ได้ดำเนินคดี แต่ น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี และญาติ เชื่อว่า นายพอละจีหายสาบสูญไปโดยถูกบังคับ


พ.ต.อ.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อธิบายลำดับขั้นตอนตั้งแต่บิลลี่หายตัวไปเมื่อปี 2557 โดยจุดสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่อุทยานอ้างว่า พบเห็นนายบิลลี่ คือบริเวณด่านมะเร็ว ภายในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นจุดที่ปล่อยตัวนายบิลลี่ จากนั้นดีเอสไอได้ทำงานในพื้นที่ หาข่าว และพบพื้นที่เป้าหมายบริเวณสะพานแขวน หลังที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จึงประสานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ นำเครื่องมือหุ่นยนต์สแกนวัตถุใต้น้ำ ในระบบโซน่า เพื่อสแกนวัตถุใต้น้ำ พบวัตถุที่ต้องสงสัย 3-4ชิ้น และได้ขอความร่วมมือกับ ตชด.เพื่อขอกำลังมนุษย์กบและนักดำน้ำ มาทำการค้นหา จนพบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ลักษณะถังถูกเจาะรู มีรอยดำไหม้อยู่บางส่วน และมีความผุ ภายในมีเหล็กเส้นจำนวน 2 เส้น ถ่านไม้จำนวน 4 ชิ้น และฝาถัง พบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ 1 ชิ้น คล้ายกับกระดูกมนุษย์ ลักษณะกระดูกเท่าหัวแม่มือ จากนั้นได้ส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ พบว่า ดีเอ็นเอ มีความสัมพันธ์กับแม่ของนายบิลลี่ และกระดูกชิ้นนี้มีลักษณะผ่านความร้อนมาแล้ว 200-300 องศาเซลเซียส ส่วนถังน้ำมัน ส่งไปตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐานภาค7 พบว่า ถังถูกเผาด้วยความร้อน หลังจากนั้นชุดทำงานได้เข้ามาดำน้ำอีกครั้งในช่วงเดือน ส.ค. จนพบอีกก็พบกระดูกอีก 20 ชิ้น ซึ่งนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่า เป็นกระดูกมนุษย์จำนวน 8 ชิ้น จากหลักฐาน เมื่อกระดูกชิ้นดังกล่าวไม่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ ทำให้บอกว่า ขณะนี้บิลลี่ เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนจะเสียชีวิตด้วยวิธีใด อยู่ระหว่างการสอบสวน


ด้าน ผศ.วรวีร์ ไวยวุฒิ ผอ.กองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ได้รับวัตถุพยานเป็นชิ้นส่วนกระดูกของมนุษย์ซึ่งเป็นชิ้นของกระโหลกศีรษะ ด้านท้ายทอย ค่อยมาทางด้านหู เป็นชิ้นส่วนกระดูกด้านใน และชิ้นนี้เป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ หากไม่ได้อยู่ในร่างกายเท่ากับเสียชีวิต ไปแล้ว และกระดูกนี้ยังมีรอยแตกร้าว และผ่านการเผาไหม้มาแล้ว เมื่อผ่านการสกัดสารพันธุกรรม โดยการตรวจแบบพิเศษ ทำให้บอกได้ว่า สารพันธุกรรม ดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า ไมโตรคอนเดีย มีการสืบทอดทางมารดา มาสู่ลูก ซึ่งสารพันธุกรรมนี้ ตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายบิลลี่ และสารพันธุกรรมนี้ จะไม่ส่งต่อไปยังบุตรของนายบิลลี่ ส่วนจะเป็นนายบิลลี่หรือไม่ขึ้นอยู่กับการสรุปของพนักงานสอบสวน ส่วนระยะเวลาของการเสียชีวิตนั้น จากการตรวจกระดูกพบว่าเสียชีวิตมานานพอสมควรแต่ยังไม่สามารถระบุได้ ทั้งนี้ชิ้นส่วนกระดูก 8 ชิ้น ที่พบว่าเป็นกระดูกมนุษย์จะต้องใช้เวลาการตรวจพิสูจน์อีก 1เดือนก่อนที่จะยืนยันว่าเป็นของใคร เพราะกระดูกผ่านความร้อนและผ่านการสูญสลายมาแล้ว


พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า คดีนี้จะต้องเปลี่ยนเป็นคดีฆาตกรรม ส่วนจะฆาตกรรมด้วยวิธีใดนั้นต้องสืบสวนต่อไป ส่วนกลุ่มผู้ต้องสงสัย คดีนี้มีกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยจำนวนผู้ต้องสงสัย และรายละเอียด ส่วนหลักฐานที่พบจะเชื่อมโยงกับบุคคลใดก็ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยจะทำไปตามพยานหลักฐาน ทั้งพยานหลักฐานที่เก็บในที่เกิดเหตุ และพยานแวดล้อม เมื่อรวบรวมได้แล้วจะชี้ไปถึงผู้ที่กระทำความผิดได้ รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในสำนวนการสอบสวนและจะรวบรวมหลักฐานให้มากที่สุด รวมถึงหลักจากนี้จะเรียกพยานมาสอบเพิ่มเติม ทั้งพยานบางส่วนที่สอบไปแล้ว และพยานที่ไม่ได้เรียกเข้า ยืนยันว่า ไม่ว่าผู้กระทำความผิดจะเป็นใคร ก็จะต้องดำเนินคดีโดยเด็ดขาด