เกิดเหตุไฟไหม้โรงสีข้าวส่งออกสุพรรณบุรีใกล้ปั๊มน้ำมัน วอดเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
วันที่ 12 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.วัฒนา แก้วเจริญ รองผู้กำกับสอบสวน สภ.เมืองสุพรรณบุรี รับแจ้งเหตุไฟไหม้ โรงสีข้าวชัยวานิช เลขที่ 120 หมู่ 1 ต.ดอนกำยาน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ริมถนนสายอู่ยา-ดอนเจดีย์ จึงประสานรถน้ำดับเพลิงจากเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี เทศบาลตำบลบ้านโพธิ์ อบต.ดอนกำยาน ผอ.ศูนย์ ปภ.เขต 2 นำเจ้าหน้าที่ ERT กำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว นำรถดับเพลิงแบบฉีดน้ำและโฟม ควบคุมระยะไกล (LUF 60) และรถดับเพลิงจากพื้นที่ใกล้เคียงเกือบ 20 คัน ไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.สมพร พุกหอม ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี พ.ต.ท.เรวัฏ นูมหันต์ รองผู้กำกับจราจร เจ้าหน้าที่มูลนิธิเสมอกันกู้ภัยสุพรรณบุรี และสมาคมเณรแก้วกู้ภัยทางหลวงสุพรรณบุรี ที่เกิดเหตุพบเพลิงกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงรีบระดมฉีดน้ำควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบโครงสร้างของโรงสี เครื่องจักรพร้อมอุปกรณ์ รวมทั้งข้าวเปลือกและข้าวสารถูกไฟไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด
จากการสอบถามนายอุทิศ วานิชานนท์ อายุ 64 ปี เจ้าของเล่าว่าขณะเกิดเหตุตนกำลังนอนหลับอยู่ในบ้านพักกระทั่งประมาณตีสี่กว่า คนงานที่กำลังสีข้าวมาเรียกบอกว่าไฟไหม้โรงสีจึงรีบตื่นขึ้นมาดูก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้อยู่ที่บริเวณจุดผลิตข้าวด้านหลังซึ่งมีทั้งข้าวสารและข้าวเปลือกอย่างรุนแรงไม่สามารถดับไฟได้จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงรวมทั้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยดับ
สำหรับโรงสีของตนนั้นเป็นโรงสีขนาดใหญ่ สีข้าวส่งออกมีกำลังการสีวันละ 400 ตันโดยสีทั้งวันทั้งคืนมีปริมาณข้าวทั้งข้าวเปลือกและข้าวสารกว่า 3,000 ตัน ส่วนต้นเพลิงเบื้องต้นรับแจ้งจากพนักงานว่ามาจากด้านท้ายของโรงสีซึ่งเป็นจุดที่เครื่องจักรกำลังทำงานซึ่งบริเวณดังกล่าวมีทั้งข้าวเปลือกและข้าวสารสันนิษฐานว่าสาเหตุการเกิดไฟไหม้นั้นเกิดจากการเสียดสีของเครื่องจักรซึ่งทำงานหนักและทำให้เกิดประกายไฟแต่คนงานไม่เห็น กระทั่งเกิดการลุกลามขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นคาดว่ากว่า 100 ล้านบาท
พ.ต.อ.สมพร พุกหอม ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี กล่าวว่าจากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าก่อนเกิดเหตุโรงสีกำลังสีข้าวแล้วเกิดไฟไหม้ขึ้นที่ด้านท้ายของโรงสีซึ่งเป็นจุดที่เครื่องจักรกำลังทำงานส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบซึ่งจะได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบสาเหตุของการเกิดเหตุที่แท้จริงอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป