“จุรินทร์” ประกาศฟื้นเศรษฐกิจฐานราก ดูแลค่าครองชีพประชาชน เร่งรัดการส่งออก ประกาศเดินหน้าเจรจาฟื้นตลาดยุโรป เล็งตลาดอาร์เซ็ป ส่งเสริมการค้าชายแดนเพิ่ม
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวในเวทีเสวนา Bangkok post forum 2019 ว่า การเข้ามาร่วมรัฐบาลนี้เพื่อมาเติมเต็มทางด้านเศรษฐกิจฐานรากเพราะหัวใจสำคัญที่สุดคือและในเชิงประมาณคือเกษตรกร เราต้องมาเติมเต็มรายได้ให้กับเกษตรกรได้ เรื่องแรกการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานราก คือจะใช้นโยบายประกันรายได้ ผลิตผลเกษตร 5 ตัวคือข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด ส่วนพืชชนิดอื่นนั้นให้ใช้มาตรการที่มีความยืดหยุ่นแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมเพื่อให้เกษตรกรสามารถยังชีพได้ เรื่องที่สองจะต้องเข้าไปดูแลควบคุมราคาสินค้าหรือการดูแลค่าใช้จ่ายเรื่องค่าของชีพประชาชนรวมทั้งเรื่องคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเช่นเดียวกัน
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ประการที่สาม คือเร่งรัดการส่งออก ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าขณะนี้ทุกประเทศในโลกได้รับผลกระทบหมดโดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนไม่มีประเทศไหนที่ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่ตัวสหรัฐและจีนเอง เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาจึงเตรียมกลไกทางนโยบายไปแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดการส่งออกในยุคที่ตนเข้าไปรับผิดชอบเราจะต้องมีพระเอกโดยให้เอกชนเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในเรื่องการทำการค้าตัวจริงมีประสบการณ์ทำตัวเลขรายได้เข้าประเทศตัวจริง จะให้เอกชนเป็นทัพหน้าในการหารายได้เข้าประเทศส่วนรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นแค่ทัพหนุน อะไรที่เอกชนต้องการให้ช่วยกระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าไปคลี่คลายขจัดปัญหาเพื่อให้เอกชนสามารถไปรบชนะในต่างแดนได้
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า อันนี้คือแนวทางที่มีความชัดเจน แต่จะเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นเมื่อกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญเอกชนที่จะจับมือกันเป็นทัพหน้า-ทัพหลังทำงานร่วมกันได้กำหนดวันแล้ว และเราได้ตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐ-เอกชน หรือ กรอ.พาณิชย์ขึ้นเพื่อให้เป็นเวทีที่จะทำให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยราชการอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้มีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเจรจากันสนับสนุนส่งเสริมกัน โดยมีมติว่ากระทรวงพาณิชย์เป็นประธานส่วนอะไรที่เอกชนต้องการให้ช่วยนั้นกระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าไปคลี่คลายขจัดปัญหาเพื่อให้เอกชนสามารถไปรบชนะในต่างแดนได้อันนี้คือแนวทางที่มีความชัดเจนแต่จะเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยเอกชนก็จะมีทั้งสมาคม สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ เป็นต้น หน่วยงานรัฐบาลไทยหน่วยงานเอกชนอื่นๆที่เกี่ยวข้องครบ ส่วนการนัดประชุมกำหนดไว้ในวันที่ 14 ส.ค. นี้เราจะประชุมนัดแรก 09.00 น.ที่ กระทรวงพาณิชย์
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ตัวเลขที่คิดว่าจะเพิ่มการส่งออกภายใต้ไปวิกฤตการณ์ของโลกและช่วยให้ประเทศไทยมีอนาคตหรือสามารถเพิ่มตัวเลขส่งออกได้เร็วขึ้นหรือถ้าลดให้น้อยที่สุดก็คือการส่งเสริมการค้าชายแดน เพราะอาเซียนเรายังมีศักยภาพสูงในการจะเป็นตลาดของประเทศไทยและอาเซียนอย่างมีศักยภาพโดยเฉพาะตัวเลขจะขึ้นเร็วมากการค้าชายแดนจึงมีความสำคัญไม่ว่าจะเป็นไทย-มาเลเซีย ไทย-กัมพูชา ไทย-เมียนมาและไทย-ลาว หรือแม้กระทั่งไทย-เวียดนาม โดยจะจัดเวทีพบปะระหว่างภาคเอกชนของเรากับชายแดนที่ติดปัญหาอะไรอุปสรรคอะไรสำคัญก็จะหารือกับทุกประเทศที่เป็นคู่ค้าที่บริเวณชายแดน ซึ่งจากที่ได้ไปประชุมอาเซ็ป วันนี้ช่วง 3 วันที่ผ่านมานี้ได้มีโอกาสได้คุยกับรัฐมนตรีพาณิชย์ของทั้ง 4 ประเทศและทุกท่านก็ตอบรับและจะมีการจัดฟอรัมกันที่ชายแดนซึ่งเชื่อมั่นว่าจะมีอนาคตขึ้น
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า นอกจากเรื่องการส่งออกแล้วเรื่องที่4 ที่มีความสำคัญไม่น้อยคือการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ค้างท่ออยู่หรือยังเดินต่อไม่ได้อันนี้ต้องมาเร่งรัดการเจรจายกตัวอย่างสำคัญที่สุดคือกลุ่มประเทศอาร์เซ็ป (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP คืออาเซียน 10 ประเทศบวกกับประเทศสมาชิกอีก 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย) การเจรจานี้จะให้จบทันสิ้นปีซึ่งหมายถึงจะให้จบให้ได้ในเดือน พ.ย. 2562 ถ้าได้ตามเป้าเราจะมีการประชุมในเดือน พ.ย.ที่ กทม. แล้วหลังจากนั้นในปี 2020 คือปีหน้านั้นจะได้ลงนามข้อตกลงร่วมกัน หากจบข้อตกลงนี้ได้ เท่ากับอาร์เซ็ปเป็นโอกาสให้ไทยสามารถเพิ่มตลาดที่มีประชากรรวมกันมากถึง 3,500 ล้าน คิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรโลกและมีมูลค่า GDP ประมาณ 32.3% ของ GDPโลก สำหรับไทยสินค้าที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องจักรใอุปกรณ์ไฟฟ้าพลาสติก เคมีภัณฑ์ ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เส้นวย สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย อาหารและอื่นๆเยอะไปหมด อันนี้คือสิ่งที่จะเป็นรูปธรรม
นายจุรินทร์ กล่าวว่า นอกจากนี้เราต้องเร่งฟื้น FTA ยุโรปที่เราเดินหน้าต่อไม่ได้ใน 5-6 ปีที่ผ่านมาเพราะเราติดปัญหาเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองแต่ถัดจากนี้ไปเรามาจากการเลือกตั้งแล้ว เพราะฉะนั้นเราสามารถนับหนึ่งเอฟทีเอไทยกับสหภาพยุโรปได้และก็พร้อมเชื่อว่าทางยุโรปเขาก็พร้อมจะเจรจา และตนได้ให้นโยบายที่กระทรวงพาณิชย์แล้วว่าขอให้เริ่มต้นตระเตรียมในการจะนับหนึ่งกันอีกครั้งหนึ่งเราจะทำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งหมดคือ 4 เรื่องสำคัญ