เปิดใจผู้ชายทาสแมว “อภิสิทธิ์” เผยชีวิตหลังลาออก เล่าย้อนเส้นทางรักภรรยา (มีคลิป)

2019-08-01 17:35:31

เปิดใจผู้ชายทาสแมว “อภิสิทธิ์” เผยชีวิตหลังลาออก เล่าย้อนเส้นทางรักภรรยา (มีคลิป)

Advertisement

มุ้งมิ้งไม่เบา เปลือยชีวิตอดีตนายกฯ “มาร์ค อภิสิทธิ์” ได้ตำแหน่งทาสแมวโดยปริยาย พร้อมย้อนเส้นทางรักภรรยา เผยมุมมองการใช้ชีวิตคู่

หลังจากที่ประกาศลาออกจากการเป็นหัวพรรคการเมือง ก็ทำเอาบรรดามิตรรักแฟนคลับใจแป้วอยู่ไม่น้อย สำหรับอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกฯ คนที่ 27 ของประเทศไทยอย่าง “มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก่อนที่จะเจ้าตัวจะเผยอีกหนึ่งบทบาท ในมุมที่น่ารักอ่อนโยน แบบฉบับของผู้ชายรักสัตว์ออกมาให้แฟนๆ ได้ชมกัน เพราะอภิสิทธิ์นั้นเลี้ยงแมวมากกว่า 26 ตัว จนแฟนๆ พร้อมใจกันติดแฮชแท็ก “พี่มาร์คทาสแมว” ให้กับอดีตนายกฯ คนดังไปแล้ว 



ทั้งนี้เจ้าตัวก็ได้มีโอกาสมานั่งเปิดใจในรายการ “คุยแซ่บ Show” ถึงชีวิตหลังการลาออก และเส้นทางชีวิตรักกับภรรยา ซึ่งงานนี้เจ้าตัวก็ได้เผยว่า…

ทราบมาว่าพี่เรียนเก่งตั้งแต่เด็กเลย ?

“ผลการเรียนดีครับ ตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่เข้าโรงเรียนก็จะสอบที่ 1 ที่ 2 มาตลอด ตอนอยู่ที่นี่นะ แล้วก็เดินทางไปต่างประเทศ” 






บางคนเก่งเพราะชอบอ่านหนังสือ บางคนเกิดมาอัจฉริยะ พี่มาร์คอยู่ฝั่งไหน ?

“มันก็คงต้องผสมผสาน บางวิชามันก็ต้องมีหัว อย่างเช่น คณิตศาสตร์ แต่ว่าการศึกษาไทยก็จะมีท่องเยอะ มันก็เลยจำเป็นต้องอ่าน”

ส่วนมากเด็กที่เรียนเก่งมักนั่งแถวหน้า แต่ทราบมาว่าพี่มาร์คนั่งแถวหลังเลย ?

“นั่งแถวหลังเพราะชื่อเป็น อ.อ่าง มากกว่ามั้ง เขานั่งเรียงตามตัวอักษร แต่ว่าโดยธรรมชาติตอนเด็กๆ ก็จะเป็นเด็กค่อนข้างเงียบ ค่อนข้างจะขี้อาย” 






มีวิชาไหนที่ไม่ชอบเลย เกลียดมากเลยมั้ย ?

“จริงๆ ชอบวิชาวิทยาศาสตร์มากกว่า เพราะว่ามันไม่ต้องอ่านเยอะ ไม่ต้องเขียนเยอะ”

วิทยาศาสตร์ท่องจำเยอะเหมือนกันนะ ?

“ไม่หรอกครับ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เป็นเรื่องของหลักมากกว่า แต่ว่าหลายวิชาอย่างสังคมถ้าต้องทดสอบความรู้มันก็ต้องอ่าน”




ในการเรียนเคยมีโอกาสสอบหมิ่นเหม่หรือจะสอบตกบ้างมั้ย ?

“ผมไปอังกฤษ ปี สองปีแรก สอบตกครับ เพราะเราไม่ไหวจริงๆ เราก็ยังไม่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษแล้วก็ต้องไปเรียนวิชาใหม่ๆ วิชาภาษาลาติน ภาษาฝรั่งเศส ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ไม่เหมือนของเราหมดเลย แล้วก็วิชาที่ตกแน่ๆ ก็คือวิชาเกี่ยวกับศาสนา ถึงเวลาสอบก็ต้องสอบ ส่งกระดาษเปล่ากันเลย ตอนเรายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย (ตอนนั้นพี่ไปกี่ขวบ ?) ผมไปตอน 11 ขวบ” 




เพื่อนสนิทของพี่มาร์คคือ นายกอังกฤษคนใหม่ “บอริส จอห์นสัน“ เห็นภาพในเฟซบุ๊ก พี่คิดมั้ยคนนึงเป็นอดีตนายกเมืองไทย อีกคนจะเป็นนายกอังกฤษ ?

“ผมไม่รู้เขาคิดรึเปล่า แต่บอริสเขาเป็นคนเรียนเก่งอยู่แล้ว เพื่อนๆ ชื่นชอบ เขาก็เป็นหัวหน้านักเรียนค่อนข้างที่จะโดดเด่น ผมก็รู้จักกับเขาน่าจะตั้งแต่ไฮสคูล ก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ จะประมาณ พ.ย. - ธ.ค. พอสอบเสร็จแล้ว กว่าจะไปเข้าเรียนจะเป็น ก.ย. - ต.ค. มีเวลาว่างอยู่ 9 - 10 เดือนเขาก็ไปออสเตรเลีย อาจจะไปเที่ยวด้วย สอนหนังสือเด็กด้วย เขาก็แวะเมืองไทยมาพักบ้านผมอยู่สองอาทิตย์ แล้วก็กลับออกซ์ฟอร์ด แต่ตอนกลับไปก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เขาจะอยู่กับเด็กที่เล่นการเมืองพรรคอนุรักษ์นิยม

ผมจะอยู่กันคนละฝ่าย เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ในหน้าที่การงานผมเคยเจอเขาตอนเป็นนายกเทศบาลลอนดอน สัก 2 ปีที่แล้ว เขาตอนเขาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเขาก็มาที่ไทยก็นัดเจอกัน เราก็แซวเขาว่าจะเป็นนายกหรือเปล่า เขาก็บอกว่าเดี๋ยวได้เป็นละ เพราะเขาช้ากว่าผมไป 10 ปี แล้วเขาก็ได้เป็นจริงๆ”






มีคนเล่าให้ฟังว่าพี่มีความชอบเรื่องการเมืองและตั้งใจว่าอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เด็กๆ เลย ?

“คือเราอยากทำงานการเมือง เราก็ไม่รู้หรอกว่าทำจริงแล้วทำได้มั้ย แต่ตั้งใจจะทำงานการเมืองตั้งแต่เด็กจริงๆ ตัดสินใจเรื่องการเรียนก็คิดถึงว่ากลับมาอยากจะทำงานการเมือง กลับมาก็เป็นอาจารย์อยู่ ปี 2 ปี ตอนเข้าไปสมัครเป็นอาจารย์ก็บอกเขาว่ามีเลือกตั้งเมื่อไหร่ ผมลาออกไปสมัคร ส.ส. นะ” 

ล่าสุดทุกคนทราบดีว่าพี่มาร์คลาออกจากการเป็น ส.ส. และลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค เหตุผลลึกๆ ที่ตัดสินใจลาออกคือ ?

“ไม่มีอะไรลึกลับเลย ทุกอย่างเปิดเผยแถลงตรงไปตรงมา จากหัวหน้าพรรคนี่ง่ายมาก เราไม่สามารถประสบความสำเร็จในการนำพาองค์กรไปได้ แล้วผมก็ประกาศชัดตอนเลือกตั้งว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ไม่ถึง 100 คน ในฐานะหัวหน้าพรรค ผมก็ต้องรับผิดชอบ คืนวันที่ 24 มี.ค. เห็นชัดอยู่แล้วว่าไม่ถึง ผมก็ลงมาแถลงข่าวลาออกเลย ประการที่สองที่ออกจาก ส.ส. ก็ชัดเจนอีกเช่นกัน ว่าเมื่อพรรคตัดสินใจร่วมรัฐบาล ผมก็ผิดคำพูดกับประชาชนไม่ได้ ผมก็ต้องรับผิดชอบ ก็ต้องออกจาก ส.ส.” 




24 แถลง ตื่นเช้าวันที่ 25 ชีวิตเปลี่ยนยังไง ?

“ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย ผมก็ใช้ชีวิตตามปกติ จริงๆ ผมก็ตกงานตั้งแต่ปฏิวัติแล้ว ไม่ต้องไปประชุมแล้ว ผมก็อยากจะพัก ทำการเมืองมาตั้งแต่อายุ 27 ถึงตอนนี้ 27 - 28 ปี ก็ไม่ได้หยุด เพราะงานการเมืองมันไม่ได้หยุดอยู่แล้ว ก็ถือโอกาสพักผ่อน”

นอกจากเลี้ยงแมวแล้ว อย่างอื่นทำอะไรอีก ?

“ก็มีงานค้างอยู่บ้าง เช่นรับงานบรรยาย มีงานสังคมที่เรายังต้องไปอยู่ ถ้าอยู่บ้านก็อ่านหนังสือ ติดตามข่าว ฟังเพลง”






เมื่อก่อนทำงานเพื่อสังคม เดี๋ยวนี้ทำงานเพื่อแมว? มีแฮชแท็กพี่มาร์คทาสแมว ?

“ที่จริงมันไม่ใช่ทาสแมวนะ มันเป็นทาสของทาสแมว เริ่มจากลูกสาวผมเขาเลี้ยงแมวอยู่สองตัว ซื้อมาอีกตัวเป็นสามตัว ผมนี่เฉยๆ ไม่ได้ชอบแมว แต่เขามีบ้านแยกอยู่นะ พอเขาไปเรียนต่างประเทศเขาก็ฝากให้ช่วยดู ระหว่างที่เขาไปเรียนมันก็ออกลูก ออกหลานมาเป็น 26 ตัว พันธ์ุสก๊อตติช โฟลด์ ที่มารับดูแลแมวเพราะลูกสั่ง เลยเป็นทาสของทาสแมวอีกที”




แมว 26 ตัว ตอนนี้ได้แฮชแท็กทาสแมว พี่คุยอะไรกับเขามั่ง ?

“ไม่ถึงกับคุยหรอก ก็เล่นกับเขา ส่วนใหญ่เล่นก็ให้ขนมให้อาหาร แต่ละตัวจะนิสัยไม่เหมือนกัน บางตัวเขาก็มาหาเรา แมวเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างจะเอาแต่ใจตัวเอง ส่วนใหญ่จะทะเลาะกันเรื่องอาหาร” 

มีวิธีในการหาความสุขให้กับตัวเองยังไงบ้าง ?

“อยู่กับครอบครัว ได้พักผ่อนก็มีความสุขแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเพิ่งพาครอบครัวไปเที่ยวบาหลี ไม่ได้เที่ยวต่างประเทศด้วยกันนานแล้ว”






นอกจากเป็นเด็กฉลาดแล้ว เป็นผู้ชายโรแมนติกด้วยมั้ย ?

“ต้องถามภรรยาผม แต่ผมเป็นคนมีความสุขกับการอยู่กับครอบครัว อยู่ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก มียุคนึงที่เขาบอกว่าต้องใช้เวลาอย่างมีคุณภาพอยู่กับครอบครัว คนนึงจะเล่นเกม จะอ่านหนังสือ มีอะไรก็ตะโกนคุยกัน ผมพูดมาตลอดว่าชีวิตที่ผมอยากจะใช้คือผมทำงานที่ผมชอบแล้วผมก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น”

พูดไม่หวาน แต่เทศกาลก็จะส่งดอกไม้ให้ภรรยา แต่ทำไมถึงไม่เอาช่อดอกไม้นั้นไปมอบให้กับภรรยาเอง ? 

“มอบให้ครับ วันสำคัญๆ อย่างวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน เราจะออกไปซื้อเองก็ไม่ได้ เราจะไปซื้อมาเก็บมาซ่อนก่อนก็ไม่ได้ เราก็ต้องโทรไปสั่ง แล้วก็บอกให้เขามาเช้าที่สุด เราอยากจะให้เขาก่อนไปทำงาน”




สมัยก่อนพี่ฮอตมาก ? 

“ไม่หรอก อย่างที่บอกว่าแต่ก่อนผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ใช่คนเที่ยวอะไรมากมาย คนส่วนใหญ่มองว่าจริงจัง เพื่อนๆ แซวว่าจะมีชีวิตวัยรุ่นอย่างเขาบ้างมั้ย ผมเริ่มเข้ามาช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ชอบติดตามศึกษางานไปดูการปราศรัย ตั้งแต่เด็กๆ ไปนั่งฟังอยู่ในสภา” 

เห็นว่าเคยมีนักศึกษาเอาการ์ดวาเลนไทน์มาให้พี่มาร์คด้วย ?

“ก็รับมา แต่ไม่รู้ว่าใคร”




แล้วพี่เอาการ์ดนั้นไปให้ภรรยา ? 

“นโยบายโปร่งใสครับ”

พี่มาร์คมีมุมมองยังไงเกี่ยวกับสามีภรรยาเรื่องการซื่อสัตย์ ความไว้วางใจ ในเรื่องของการใช้ชีวิต ?

“คนสองคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันแล้วมันก็ต้องมีความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน”



เคยติดงานเยอะมาก แล้วภรรยาแล้วลูกว่ายังไง ? 

“เขารู้ตั้งแต่เป็นแฟนกันแล้วว่าผมจะทำงานการเมือง พ่อเขาก็เคยลงสมัคร ส.ส. ลูกผมคนแรกเกิดมาผมก็เป็นนักการเมืองแล้ว ผมก็พยายามแบ่งเวลา บริหารเวลา เวลาว่างก็อยู่กับครอบครัว”

สำหรับพี่มาร์คการเติมเต็มความรักให้กับครอบครัวรูปแบบของพี่ทำยังไง ? 

“ความรักเกิดจากตัวเราเอง คนมีความรักมันก็ต้องมีความห่วงใยกัน ใส่ใจกัน ให้ความสำคัญซึ่งกันและกัน”



บางทีก็ยากในมุมของผู้บริหารประเทศด้วย เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย ? 

“ผมว่ายากทุกอาชีพ ครอบครัวเดี๋ยวนี้ทั้งสองคนต้องทำงาน อาจไม่เหมือนสมัยก่อนๆ คนนึงอยู่บ้าน คนนึงทำงาน ต่างคนต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบ มันคงยากขึ้นในการจัดการ แต่เรื่องการบริหารเวลามันไม่สำคัญเท่ากับเรื่องจิตใจที่มีให้กัน”

ถ้าภรรยาดูอยู่อยากจะบอกอะไร ?

“รู้นะว่าดูอยู่”




ถามเรื่องคู่จิ้นกับหลานน้องไอติม ? 

“จริงๆ ก็หลีกเลี่ยงที่จะอยู่ด้วยกัน เพราะเขาก็ตัดสินใจเข้ามาสู่การเมืองก็ไม่ได้มาเกี่ยวอะไรกับผม เข้ามาที่พรรคก็มีคนบอกว่าหน้าตาก็คล้ายๆ กัน วิธีการพูดจาก็คล้ายกัน เขาก็กังวลเพราะเขาก็อยากเป็นตัวของตัวเอง เพราะเขาก็คิดว่าไม่ได้จะมาทำอะไรเหมือนผม ในที่สุดก็ต้องไปหาเสียงด้วยกันบ้าง”

มีการแนะนำอะไรบ้างมั้ย ?

“ไม่มีเลยครับ เขาเก่งกว่านะ เรียนหนังสือก็เก่งกว่าผม เรียนรู้อะไรเร็วมาก เขาอาจจะไม่เคยทราบที่มาที่ไปเรื่องนั้น เรื่องนี้เขาก็จะถามผม เป็นมายังไง ผมคิดยังไง เขาก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง”




พี่มาร์คคิดว่าระหว่างพี่มาร์คกับน้องไอติมในวัยรุ่นเดียวกันใครหล่อกว่ากัน ?

“ผมก็จะตอบอย่างนักการเมืองว่า ให้ประชาชนตัดสิน”

เคยรู้สึกมั้ยว่า หลานตั้งแต่เด็กจนโตเขาแอบมองเราอยู่ ? 

“ไม่เลยครับ เจอเขาตอนเล็กๆ พอเขาไปเรียนต่างประเทศก็แทบไม่เจอเขาเลย เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าเรียนโรงเรียนเดียวกัน เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน วิชาเดียวกัน มีช่วงเขากลับมาเขามาของฝึกงานที่พรรค แต่ก็ยังไม่ทราบนะว่าเขาจะเข้าการเมืองมั้ย จนปีที่แล้วเขาก็บอกว่าจะสมัคร ส.ส.”




ภูมิใจมั้ยหลานมาเส้นเดียวกับเราเลย ? 

“ก็ดีใจนะ เป็นหลานแหละ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจสูง”

อีก 10 ปีข้างหน้าอยากเห็นประเทศไทยเป็นแบบไหน ? 

“สำหรับผม 10 ปี อาจดูเหมือนนาน แต่ไม่นาน ในแง่กายภาพก่อน การมีสิ่งอำนวยความสะดวก ความทันสมัย เราก้าวทันเขา แต่ผมยังอยากเห็นประเทศไทยที่ยังรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นสังคมไทยเอาไว้ แล้วเราก็อยากจะเห็นการแก้ปัญหาที่มันหมักหมมมานานๆ เรื่องเศรษฐกิจ ที่มันมีความเหลื่อมล้ำสูง

อยากเห็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันมากกว่านี้ มีสวัสดิการที่ดี โดยเฉพาะเรากำลังจะเป็นสังคมที่มีคนสูงวัยเยอะมาก การเมืองก็อยากให้ดีกว่านี้ อยากให้ลดการขัดแย้ง การสร้างการเกลียดชัง มาว่ากันด้วยเหตุด้วยผล” 






ขอบคุณรูปจากอินสตาแกรม : @abhisit_vejjajiva