นายกรัฐมนตรีประชุม 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท เตรียมนำเสนอ ครม. 6 ส.ค.นี้
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 ส.ค. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
ภายหลังการประชุม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผอ.สำนักงบประมาณ แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมร่วม 4 หน่วยงานวันนี้ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ให้สำนักงบประมาณนำเสนอ ครม.ในวันอังคารที่ 6 ส.ค.นี้ในวงเงินงบประมาณรายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย รายได้รัฐบาลสุทธิที่จะจัดเก็บได้ เดิมทีประมาณการไว้ที่ 2.75 ล้านล้านบาท จะคงเหลือที่ 2.31 ล้านล้านบาท หรือลดลงไป 19,000 ล้านล้านบาท จากเดิมที่เคยเสนอ ครม.เมื่อตอนต้นปี ซึ่งสำนักงบประมาณจะเสนอ ครม.พิจารณาเห็นชอบกรอบวงเงินเพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป
ผอ.สำนักงบประมาณ กล่าวต่อว่า ตามปฏิทินงบประมาณที่เสนอไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยสรุปคือ วันนี้มีการประชุม 4 หน่วยงานเพื่อที่จะเห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เสนอ ครม.วันที่ 6 ส.ค. 2562 ซึ่งคำของบประมาณจะเข้ามาที่สำนักงบประมาณวันที่ 9 ส.ค. 2562 โดยสำนักงบประมาณคาดว่าจะสามารถนําเสนอสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาวาระที่ 1 ตามกำหนดการ วันที่ 17 ต.ค. 2562 และวาระที่ 2-3 ประมาณต้นเดือนม.ค. 2563 จากนั้นจึงเสนอวุฒิสภาพิจารณาประมาณกลางเดือนม.ค. 2563 ซึ่งคาดว่าจะสามารถนําร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ขึ้นทูลเกล้าฯ ประมาณปลายเดือน ม.ค. 2563
ผอ.สำนักงบประมาณ กล่าวถึงแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2563 – 2565) ว่า จะมีการปรับในส่วนของรายได้รัฐบาลสุทธิ จากเดิมกำหนดประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 2,750,000 ล้านบาท ก็ได้ปรับลดลงมา 19,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้มีการประชุมทบทวนกำหนดกรอบรายได้รัฐบาลสุทธิ ของแผนการคลังระยะปานกลางอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าแผนการคลังระยะปานกลางจะสมดุลในปี 2573 ซึ่งต้องดูตามความเป็นจริงอีกครั้งว่าจะสามารถถึงจุดสมดุลได้ในปีนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยว่าจะต้องใช้จ่ายงบประมาณเท่าไรในการรักษาเสถียรภาพและกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละปีจากนี้ไป
นายเดชาภิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ช่วงที่รอ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 ประกาศใช้ สำนักงบประมาณจะนำเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบใช้งบประมาณปีก่อนหน้าไปพลางก่อน โดยใช้ฐานงบประมาณปี 2562 จัดสรรให้ไม่เกินกึ่งหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง ประกอบด้วย เรื่องของเงินเดือน รายจ่ายประจำ ที่มีฐานเดิมอยู่ในปี 2562 และงบลงทุนที่มีสัญญาแล้ว ซึ่งงบฯ ไปพลางก่อนจะไม่มีรายการใหม่ ฉะนั้นงบประมาณที่มีการพูดถึงว่าจะหายไปนั้นที่จริงแล้วยังมีอยู่ เงินเดือน ทุกอย่างพร้อมที่จะจ่ายทั้งหมด และงบลงทุนก็ยังมีของรัฐวิสาหกิจอยู่ ยังมีรายการที่ภาครัฐและเอกชนร่วมลงทุน หรือ PPP และมีกองทุน Thailand Future Fund ที่จะนำมาใช้กระตุ้น หรือรักษาเสถียรภาพของการใช้จ่ายในช่วง 3 เดือนจากนี้ไปคือตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคมได้ และเมื่องบประมาณประจำปี พ.ศ. 2563 ออกมาประมาณเดือนม.ค. 2563 ก็เริ่มดำเนินการได้ ซึ่งระหว่างเดือนม.ค. 2563 ก่อนหน้านั้น สำนักงบประมาณจะออกมาตรการด้านการงบประมาณ เพื่อที่จะสนับสนุนให้มีการใช้จ่ายทันทีหลังจากที่พระราชบัญญัติงบประมาณร่ายประจำปี พ.ศ. 2563 ประกาศใช้