ผงะ "น้ำพริกหนุ่ม" ใส่สารกันบูดเกินมาตรฐาน 11 เท่า

2019-08-01 11:05:16

ผงะ "น้ำพริกหนุ่ม" ใส่สารกันบูดเกินมาตรฐาน 11 เท่า

Advertisement

ฉลาดซื้อตรวจน้ำพริกหนุ่ม 17 ตัวอย่าง พบ 7 ตัวอย่าง สารกันบูดเกินมาตรฐาน เจอสูงสุดถึง 11 เท่า ชี้กินบ่อยอาจเกิดปัญหาต่อตับ ไตทำงานหนักขับออก แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลเข้มงวด ผู้ประกอบการจัดทำฉลากบนบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค


เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคเหนือ ภายใต้โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำพริกหนุ่มในพื้นที่ภาคเหนือจำนวน 17 ตัวอย่าง ส่งตรวจวิเคราะห์หาปริมาณวัตถุกันเสียประเภทกรดเบนโซอิก และกรดซอร์บิก เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยสุ่มตรวจในครั้งแรกเมื่อเดือนมี.ค. 2561 โดยผลทดสอบ มีดังนี้ พบ น้ำพริกหนุ่ม 2 ตัวอย่าง ที่ตรวจไม่พบสารกันบูดเลย ได้แก่ 1.น้ำพริกหนุ่มอุ้ยคำ (ตราขันโตก) จากตลาดวโรรส จ.เชียงใหม่ และ 2. น้ำพริกหนุ่ม ยี่ห้อ วรรณภา จากร้านวรรณภา จ.เชียงราย


ทั้งนี้มีน้ำพริกหนุ่ม 8 ตัวอย่าง ที่ตรวจพบสารกันบูดประเภทกรดเบนโซอิก และกรดซอร์บิก แต่ไม่เกินมาตรฐาน (ไม่เกิน 500 มก./กก.) โดยพบปริมาณกรดเบนโซอิกระหว่าง 30.67 - 455.80 มก./กก. ทั้งนี้ตั้งข้อสังเกตถึงปริมาณกรดเบนโซอิกที่ตรวจพบเล็กน้อย อาจเป็นกรดเบนโซอิกจากธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้มาจากการเติมโดยผู้ผลิต เพราะสารกันบูดในปริมาณน้อย ไม่เพียงพอต่อการใช้เพื่อการถนอมอาหาร


สำหรับน้ำพริกหนุ่มที่เหลืออีก 7 ตัวอย่าง ตรวจพบปริมาณสารกันบูดมากกว่า 500 มก./กก. ซึ่งเกินมาตรฐาน ได้แก่ โดยพบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 890.32 -5649.43 มก./กก. ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 389 พ.ศ. 2561 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 5) อนุญาตให้ตรวจพบวัตถุกันเสียประเภทกรดเบนโซอิก ปริมาณสูงสุดได้ไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักอาหาร 1 กิโลกรัม และ ประเภทกรดซอร์บิก ปริมาณสูงสุดได้ไม่เกิน 1000 มก./กก. ในหมวดอาหารประเภทเครื่องปรุงรส


ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ กองบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ กล่าวว่า แม้ร่างกายจะสามารถขับสารกันบูดออกได้ทางระบบปัสสาวะ แต่ถ้าหากเราได้รับสารกันบูดบ่อยๆ จากอาหารหลายชนิดในสามมื้อ โดยเฉพาะในอาหารสำเร็จรูป หรืออาหารแปรรูป อาจเกิดปัญหาต่อตับและไตซึ่งต้องทำงานหนักในการขับออก




ขณะที่ น.ส.มลฤดี โพธิ์อินทร์ นักวิชาการด้านอาหาร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากผลทดสอบตัวอย่างน้ำพริกหนุ่มที่พบสารกันบูดสูงสุดนั้น มีปริมาณสูงถึง 5649.43 มก./กก. ซึ่งเกินกว่าที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ถึง 11 เท่านอกจากนี้ หากมีการใช้วัตถุเจือปนอาหาร เช่น วัตถุกันเสีย ก็ต้องระบุข้อมูลการใช้สารกันบูดไว้บนฉลากบรรจุภัณฑ์ให้ผู้บริโภคทราบ ซึ่งน้ำพริกหนุ่มทั้ง 17 ตัวอย่าง พบว่ามีเพียง 2 ตัวอย่าง (ร้อยละ 11) เท่านั้น ที่ระบุว่าใช้วัตถุกันเสีย โดยเฉพาะน้ำพริกหนุ่ม 7 ยี่ห้อ ที่มีปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐาน นั้นไม่มียี่ห้อใดเลย ที่ให้ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์ว่าใช้สารกันบูด


น.ส. มลฤดี กล่าวต่อว่า นอกจากสินค้าของฝากอย่าง น้ำพริกหนุ่ม โรตีสายไหม และแกงไตปลาแห้งแล้ว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้เคยสุ่มตรวจสารกันบูดในขนมปังไส้ เฉาก๊วย และขนมจีน ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าผู้ประกอบการไม่ได้มีการแสดงฉลากให้ถูกต้องชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องการใช้วัตถุเจือปนอาหารประเภทสารกันบูด จึงอยากเสนอให้หน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแล ได้ออกกฎหมาย ข้อกำหนด หรือบทลงโทษ ให้ผู้ประกอบการได้มีการจัดทำฉลากบนบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค นอกจากนี้ ในเรื่องสินค้าประเภทของฝาก ก็อยากฝากให้หน่วยงานที่กำกับดูแลในระดับจังหวัด ได้ลงพื้นที่สุ่มตรวจคุณภาพของฝากร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อช่วยกันพัฒนาคุณภาพของฝากให้ได้มาตรฐาน สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค


ขณะที่ น.ส.พวงทอง ว่องไว เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคเหนือ กล่าวว่า น้ำพริกหนุ่มถือว่าเป็นสินค้าประจำภาคเหนือที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อหาเป็นของฝาก จากผลตรวจน้ำพริกหนุ่มในครั้งนี้ พบว่ากว่าร้อยละ 63 นั้นมีปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐาน สิ่งที่ทางเครือข่ายจะดำเนินงานต่อคือการประสานสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อช่วยกันสำรวจคุณภาพมาตรฐานสินค้าของฝากประเภทอื่นๆ นอกจากน้ำพริกหนุ่ม รวมถึงได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้วัตถุเจือปนอาหารให้ถูกต้องกับผู้ประกอบการ เพื่อช่วยกันยกระดับมาตรฐานของฝากภาคเหนือ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว


อ่านผลทดสอบสารกันบูดในน้ำพริกหนุ่ม