รื้อ "โรงแรมหรู" ริมหาดปากเมง รุกที่ป่าอุทยาน

2019-07-25 15:00:28

รื้อ "โรงแรมหรู" ริมหาดปากเมง รุกที่ป่าอุทยาน

Advertisement

อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช สั่งเจ้าหน้าที่เข้าติดตามการรื้อถอนโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว มูลค่านับพันล้านบาท ริมหาดปากเมง ตามคำสั่งศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2561 พบว่าล่าสุดดำเนินการรื้อถอนไปแล้วกว่า 30%

วันที่ 25 ก.ค.นายณรงค์ คงเอียด หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม พร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ตำรวจชุมชน ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ลงพื้นที่เร่งรัดติดตามการรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้าง ตามคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2561 ที่มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก.เลขที่ 793 และโฉนดที่ดินเลขที่ 10548 ของบริษัทแห่งหนึ่งและให้ขับไล่จำเลยและบริวาร พร้อมกับรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว เนื้อที่รวมกว่า 37 ไร่ ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว เพียงแห่งเดียวริมชายหาดฉางหลาง ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง มูลค่านับพันล้านบาท ซึ่งเปิดดำเนินธุรกิจรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป โดยกรมอุทยานแห่งชาติฯได้ดำเนินการตรวจสอบ และรวบรวมพยานหลักฐานเป็นโจทย์ยื่นฟ้องขับไล่โรงแรมดังกล่าว ว่าเอกสารสิทธิได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ พบว่าคนงานของบริษัทรับเหมารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจาก จ.ชลบุรี พร้อมคนงานประมาณ 30 คน และเครื่องจักรกลนับ 10 ตัว กำลังเร่งทำการเจาะรื้อถอนอย่างเต็มที่

โดยนายณรงค์ คงเอียด หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม กล่าวว่า คดีนี้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเป็นคดีที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งกรมอุทยานฯได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อฟ้องร้องโรงแรมดังกล่าว ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว ในพื้นที่ จ.ตรัง ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาสิ้นสุดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.2561 ให้ดังกล่าวและบริวาร รื้อถอนทรัพย์สินออกจากพื้นที่ทั้งหมด ทั้งนี้ ทางอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้สั่งการให้อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมเร่งรัดให้ทางบริษัทดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกาอย่างเด็ดขาด และโดยด่วนที่สุด เพราะเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และพบว่าทางบริษัทก็น้อมรับคำสั่งศาลเร่งดำเนินการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่อย่างเต็มที่ แต่โครงสร้างอาคารมีหลายอาคาร และมีความแข็งแรง และมีบางส่วนอยู่ใต้ดิน ซึ่งยากลำบากในการรื้อถอน แต่ขณะนี้การรื้อถอนก็รุดหน้าไปมาก และคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของอุทยานฯที่จะเร่งดำเนินการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ทั้ง 37 ไร่เศษนี้ ให้กลับมาสู่สภาพเดิมเป็นพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ต่อไป