อธิบดีกรมการแพทย์ย้ำผู้ป่วยควรใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ควบคู่กับการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน ชี้กรณีหญิงที่อุดรธานีก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง สภาพจิตใจดีขึ้น
เมื่อวันที่ 7 ก.ค. นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากกรณีกระแสคลิปวิดีโอของหญิงสาวรายหนึ่งใน จ.หนองคายที่บันทึกภาพตัวเองพร้อมกล่าวถึงการใช้น้ำมันกัญชาที่ช่วยให้ตนมีอาการดีขึ้นแทบจะใกล้หายป่วยจากโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย โดยคลิปดังกล่าวถูกส่งต่อในสื่อสังคมออนไลน์ และเป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก คณะบุคลากรทางการแพทย์ของ รพ.มะเร็งอุดรธานี กรมการแพทย์ พร้อมด้วย รพ.ท่าบ่อ อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) และผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่เข้าเยี่ยมหญิงสาวรายดังกล่าว พร้อมสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า ผู้ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะผ่าตัดมาหลายปี และตรวจพบมะเร็งลามไปตับ โดยผู้ป่วยได้ให้ข้อมูลว่าเริ่มใช้สารสกัดกัญชามาตั้งแต่ พ.ย. 2561 อาจจะส่งผลให้อาการที่ดีขึ้น คือ เหนื่อยน้อยลง ทานอาหารได้มากขึ้น อาการแน่นท้องลดลง สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
นพ.สมศักดิ์ กล่าว่อว่า ต่อมาในเดือน ก.พ. 2562 พบก้อนมะเร็งที่เต้านม จึงเข้ารับการรักษาที่ รพ.มะเร็งอุดรธานี แพทย์จึงเริ่มให้ยาเคมีบำบัด โดยภายหลังจากการให้เคมีบำบัดมา 3 รอบ แพทย์เจ้าของไข้ตรวจพบว่าทั้งก้อนมะเร็งที่เต้านมและที่ตับมีขนาดเล็กลง จึงสรุปได้ว่าจากกรณีนี้ผู้ป่วยมีการใช้สารกัญชามาก่อนการใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งอาจจะมีผลดีในด้านกระตุ้นความอยากอาหาร ลดอาการปวดท้อง สามารถทำให้คนไข้หลับพักผ่อนได้ดีขึ้น จึงมีสภาพร่างกาย จิตใจโดยรวมดีขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยและแพทย์เจ้าของไข้ พบว่าก้อนมะเร็งที่เต้านมและตับ ยุบตัวลงมากหลังจากได้รับเคมีบำบัด ซึ่งผู้ป่วยยืนยันที่จะรักษาที่ รพ.มะเร็งอุดรธานีโดยใช้ยาเคมีบำบัดควบคู่ไปกับการใช้กัญชาโดยวิธีป้ายใต้ลิ้น ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะใช้สารสกัดกัญชา แต่เซลล์มะเร็งก็ยังแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ดังนั้น ผู้ป่วยควรจะต้องเข้ารับการรักษาแพทย์แผนปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามขอแนะนำประชาชนว่าสารสกัดจากกัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์หากนำมาใช้ในสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสม และต้องไม่ทิ้งการรักษาตามมาตรฐานที่มีอยู่ นอกจากนี้สารสกัดจากกัญชาอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้นการใช้ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ในเงื่อนไขผู้ป่วยรายกรณีต้องใช้ในขนาดและปริมาณที่ถูกต้องซึ่งหลักฐานวิจัยทางการแพทย์