เอฟเอเอของสหรัฐ ประกาศคำสั่งฉุกเฉิน ห้ามเครื่องบินโดยสารของสหรัฐบินใกล้น่านฟ้าของอิหร่าน ขณะที่มีรายงานข่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ สั่งโจมตีอิหร่าน แต่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย
สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ หรือเอฟเอเอ ประกาสคำสั่งฉุกเฉินเมื่อวันพฤหัสบดี ห้ามบริษัทการบินสหรัฐ นำเครื่องบินโดยสารบินผ่านน่านฟ้าเขตควบคุมของอิหร่าน เหนือช่องแคบฮอร์มุซ และอ่าวโอมาน เนื่องจากมีความตึงเครียดในระดับสูง โดยคำสั่งดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ระงับเที่ยวบินระหว่างสนามบินเนวาร์ก ในนิวเจอร์ซี และนครมุมไบ เมืองหลวงทางการเงินของอินเดีย ซึ่งต้องบินผ่านน่านฟ้าของอิหร่าน หลังทบทวนความปลอดภัย ภายหลังอิหร่านยิงขีปนาวุธพื้นสู่อากาศโจมตีอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนสอดแนมระดับสูงของกองทัพสหรัฐ
การสอยโดรนไร้อาวุธ โกลบอล ฮอว์ก ซึ่งสามารถบินได้ในระดับสูงถึง 60,000 ฟุต หรือ 18,300 เมตร เป็นสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุดในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย เส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก ซึ่งรวมทั้งการะเบิดเรือบรรทุกน้ำมัน 6 ลำเมื่อเดือนที่แล้วและเดือนนี้ด้วย
เอฟเอเอ ระบุว่า เส้นทางการบินของเครื่องบินพลเรือนที่ใกล้ที่สุดกับจุดที่โดรนสหรัฐถูกสอยร่วง อยู่ห่างกัน 45 ไมล์ทะเล เอฟเอเอยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดที่ขยายวงกว้าง และกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ใกล้เส้นทางการบินของเครื่องบินพลเรือน และความจงใจของอิหร่านในการใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลในน่านฟ้าสากลโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ทั้งนี้ ในเดือนกรกฏาคม 2557 สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบินเอ็มเอช17 ถูกยิงด้วยขีปนาวุธเหนือน่านฟ้าภาคตะวันออกของยูเครน มีผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตรวมกัน 298 ราย
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้อนุมัติให้ปฏิบัติการโจมตีอิหร่านเมื่อวันศุกร์ เพื่อเป็นการตอบโต้กรณีการยิงโดรนสอดแนม แต่ยกเลิกคำสั่งโจมตีในนาทีสุดท้าย โดยนิวยอร์ก ไทม์ส รายงานอ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐ ที่ระบุว่า เครื่องบินรบสหรัฐทะยานขึ้นและเรือรบก็เข้าประจำตำแหน่งเพื่อปฏิบัติการโจมตีแล้ว เพียงแค่รอคำสั่งเท่านั้น แต่มีคำสั่งยกเลิก โดยที่ยังไม่ได้ยิงอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว
เป้าหมายการโจมตีอยู่ที่เรดาร์และแท่นยิงขีปนาวุธของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า การโจมตีอิหร่านอาจเดินหน้าต่อในอนาคตข้างหน้าหรือไม่ สื่อสหรัฐรายงานเพิ่มเติมว่า ยังไม่รู้ว่าทรัมป์เปลี่ยนใจ หรือรัฐบาลของเขาวิตกกังวลเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุง หรือยุทธศาสตร์