วันที่ 14 มิถุนายน เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 93 ปีชาตกาลของสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบ กนฺตาจาโร) ซึ่งท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๔๖๙ ที่บางแพ จ.ราชบุรี
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบ กนฺตาจาโร) ซึ่งลูกศิษย์ลูกหาเรียกกันติดปากแบบบ้าน ๆ ว่า “หลวงพ่อ” เป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุติกนิกาย อดีตเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร
หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสีลาจารวัตรมีความรอบรู้ทั้งในทางคดีโลกและคดีธรรม ท่านไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทั้งการเรียนและการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หลวงพอ่พัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นแบบอย่างของลูกศิษย์ พิสูจน์ให้เห็นว่าการเรียนรู้ไม่มีพรมแดนและไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมกับ “อมตะวาจา” ไม่มีใครแก่เกินเรียน ด้วยวัยกว่า 60 ปีของท่านกับสมณศักดิ์พระราชาคณะ ท่านข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษาต่อปริญญาเอกถึงอินเดีย จนจบ กลายเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปแรกของไทยที่สำเร็จการศึกษาในทางคดีโลกถึงชั้นปริญญาเอก เหตุผลหนึ่งอย่างที่ท่านต้องเรียน ก็เพื่อพิสูจน์ให้ลูกศิษย์เห็นว่า ไม่มีใครแก่เกินเรียน อยู่ที่ใจว่า “สู้หรือเปล่า?” ถ้าสู้ก็มีโอกาสสำเร็จเกินครึ่ง

นอกจากหลวงพ่อจะมีบทบาทในการด้านพระศาสนา และงานปกครองคณะสงฆ์ในวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร ในฐานะสมภารเจ้า ก็มากล้นมืออยู่แล้ว แต่หลวงพ่อก็ไม่อยู่นิ่งเฉย ยังทุ่มเทเวลา ทุ่มเทหยาดเหงื่อ แรงกาย รับบทบาทเป็นพระผู้สร้าง พระผู้ให้

ต้องยอมรับว่า หลวงพ่อประจวบ กนฺตาจาโร เป็นพระที่มีจริยาวัตรแบบพอเพียง สมถะ แต่วิสัยทัศน์ยาวไกลอย่างไม่น่าเชื่อว่าท่านจะคิดได้ในเรื่องการให้โอกาสหรือทางเลือกทางการศึกษาแก่เด็กที่ด้อยโอกาส ด้วยการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งอยู่ในวัดชูจิตธรรมาราม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

เป็นการพลิกพื้นนาที่รกร้างว่างเปล่า ให้เป็นนาบุญเพื่อสืบทอดและเผยแพร่พระศาสนาตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 เมื่อดำริสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเรียบร้อย หลวงพ่อก็ไปเสาะหาเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์บ้าง หรือเหี่ยวเฉาบ้าง จากถิ่นทุรกันดารในชนบทห่างไกล มาบ่มเพาะ เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ดี ก็เติบโตได้เร็ว ส่วนเมล็ดพันธุ์ที่ลีบ เหี่ยวเฉา ก็ต้องเฝ้าดูแล ทะนุถนอมกันเป็นพิเศษ จนเติบโตและแกร่งกล้า รุ่นแล้วรุ่นเล่า ด้วยความเสียสละของหลวงพ่อ โดยไม่ท้อแท้และท้อถอยกับความยากลำบาก จนปัจจุบัน เมล็ดพันธุ์ที่หลวงพ่อบ่มเพาะ กลายเป็นกำลังหลักของพระศาสนา และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของสังคมชาติไปแล้ว

หลวงพ่อสมเด็จ ฯ ได้บำเพ็ญคุณูปการเพื่อตอบแทนพระพุทธศาสนา และหิตานุหิตประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป อย่างใหญ่หลวง เป็นอเนกอนันต์
ได้สนองงานดูแลการปกครองคณะสงฆ์ เป็นอย่างดีเรื่อยมา จนได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ มีพระราชทินนนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ฯ"

นอกจากการปกครองคณะสงฆ์แล้ว ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และด้วยความเมตตาอันหาประมาณมิได้ หลวงพ่อสมเด็จ ฯ ยังได้ร่วมก่อตั้งวัดญาณรังษี ที่สหรัฐอเมริกา และวัดมกุฎคีรีวัน ที่เขาใหญ่ เพื่อเผยแผ่และสืบทอดพระศาสนาด้วย

ประวัติของโรงเรียนมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย หรือ ม.ว.ก.
ด้วยพระดําริของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายีมหาเถร) วัดมกุฏกษัตริยาราม ขณะทรงดํารงตําแหน่งนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ที่ว่า“ ความสําคัญของการศึกษาของคณะสงฆ์ในปัจจุบันนี้ จะต้องอนุวัติให้ทันกับความเจริญของโลกซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์ที่จะขยายการศึกษาของ คณะสงฆ์ให์เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ในปีพ.ศ. 2513 -2514 ได้ทรงจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ทําหน้าที่ร่างหลักสูตรพระ ปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้เป็นหลักสูตรหนึ่งในปี พ.ศ. 2514 สมัย ฯพณฯ สุกิจ นิมมานเหมินทร์ ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเมื่อกระทรวง ฯ ประกาศใช้หลักสูตรแล้ว พระองค์ได้ทรง เปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แห่งแรกขึ้นชื่อว่าโรงเรียนวชิรมกุฏ ที่บริเวณหลัง วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร เป็นสาขาแห่งหนึ่งของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัยโดยใช้หลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เมื่อวันที่1ตุลาคมพ.ศ. 2514

ในปีเดียวกันนี้ นายฉบับ คุณนายสงวน ชูจิตารมย์ ได้มีจิตศรัทธาถวายที่ดิน จํานวน 186 ไร่ ที่ตําบล สนับทึบ อําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ต่อมาได้มีผู้บริจาคซื้อถวายเพิ่มเติมเป็น 736 ไร่) ให้เป็นที่ตั้งสถานศึกษา ของคณะสงฆ์ขยายการศึกษาออกไปสู่ชนบท เปิดทําการสอนพระภิกษุสามเณรขึ้น ได้ทรงวางวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสถาบัน สงฆ์แห่งนี้ไว้ 6 ประการ คือ :-
1. เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์
2. เพื่อเป็นสถานที่พักอาศัยเล่าเรียนของพระภิกษุ - สามเณร
3. เพื่อเป็นสถานที่พักอาศัยเล่าเรียนวิชาการทางพระพุทธศาสนาของชาวต่างประเทศ
4. เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการชั้นสูงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
5. เพื่อเป็นสถานที่อบรมในด้านการปฏิบัติธรรม
6. เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาฝากอบรมพระภิกษุผู้จะปฏิบัติศาสนกิจในระดับสูง เช่น งานด้าน การปกครอง การเผยแผ่ การสาธารณูปการ เป็นต้น

ขณะที่ทรงเตรียมการจะดําเนินงานภายหลังชาวบ้านเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว แต่พระดําริดังกล่าวยังมิทันสัมฤทธิ์ผล พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2514
ต่อมาปี พ.ศ. 2516 พระเถรานุเถระผู้มีบทบาทในการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์หลายรูป เช่น
1. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ฯ วัดบวรนิเวศวิหาร
2. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบกนฺตาจาโร) วัดมกุฏกษัตริยาราม
3. สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกโร) วัดเทพศิรินทราวาส
4. พระธรรมวราจารย์ (แบน กิตฺติสาโร) วัดบวรนิเวศวิหาร
5. พระธรรมปาโมกข์ (สุวรรณ กญฺจโน) วัดมกุฏกษัตริยาราม
6. พระเทพเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) วัดธรรมมงคล 2
7. พระเทพปัญญากวี (บรรจง กลฺลิโต) วัดมกุฏกษัตริยาราม

ได้ร่วมกันก่อตั้งสถาบันสงฆ์แห่งนี้ขึ้น เริ่มแรกใช้ชื่อว่า สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย สาขาวังน้อย เป็นที่รู้จัก กันของประชาชนโดยทั่วไปว่า “ วิทยาลัยสงฆ์วังน้อย ”ในปี พ.ศ. 2519 ได้ขอตั้งเป็นวัดชื่อ “วัดชูจิตธรรมาราม” เพื่อเป็น เกียรติแก่วงศ์สกุล ชูจิตารมย์ ผู้ถวายที่ดินเพื่อการก่อตั้งครั้งแรก (ปีพ.ศ. 2521 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา) ต่อมาเมื่อ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2520 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพระนามาภิไธยในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยาม มกุฏราชกุมาร ว่า “มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย” และทรงพระราชทานพระนามาภิไธยย่อว่า “ ม.ว.ก.” ภายใต้เสมา ธรรมจักร พร้อมทั้งพระราชทานสุภาษิตว่า “วชิรูปมจิตฺโต สิยา” (พึงเป็นผู้มีจิตแกร่งประดุจเพชร) ให้เป็นตราประจําสถาบัน

สำหรับการศึกษาของมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย ศึกษาตามหลักสูตรคณะสงฆ์ไทย คือเรียนนักธรรมและภาษาบาลีในภาคเช้า ส่วนภาคบ่าย เรียนหลักสูตรขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ปัจจุบัน มีสามเณรทั้งหมดประมาณ 300 กว่ารูป ซึ่งมาจากทุกภูมิภาคของประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าน่าจะมาจากการขาดโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากความไม่พร้อมและไม่สะดวกของพ่อแม่ รวมทั้งต้องการให้บุตรหลานเข้ามาบรรพชาหรือบวชเรียน เพื่ออบรมบ่มนิสัยและอยู่ในระเบียบวินัยของพระสงฆ์
ปัจจุบันนี้ โรงเรียนมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย ถือว่าเป็นสำนักเรียนภาษาบาลีอันดับต้น ๆ ของประเทศ ที่ผลิตผู้สอบได้ภาษาบาลีในระดับประโยคสูง ๆ ของประเทศได้จำนวนมากในแต่ละปี
สันติ สร้างนอก เขียน/เรียบเรียง